ความเลอเลิศของกะทิ

ผู้เขียนเห็นด้วยว่า ความสุขของกะทิ นั้นเป็นวรรณกรรมแสน “สะอาด” สะอาดเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า เฮ้ย! โลกอะไรมันจะงดงามขนาดนั้น ขนาดแม่จะตายก็ยังสวย แม่จะตายก็ยังสุข แม้จะสุขแบบซ่อนความเศร้าไว้ลึกๆ แต่มันช่างห้อมล้อมไปด้วยละอองแห่งความงาม เหงา เงียบ เรียบง่าย คนรอบข้างกะทิก็ช่างเป็นทั้งคนดี คนตลก น้าอะไรต่อมิอะไรก็เป็นคนที่รักแม่ และแม่รัก จนกระทั่งเผื่อแผ่ความรักอันมากมายมาที่กะทิ จนกระทั่งเลยเถิดไปจนถึงการแอบถามตัวเองอยู่ในใจว่า ผู้เขียนวรรณกรรมชิ้นนี้ จงใจที่จะให้กะทิสะอาด หมดจดขนาดนั้นหรือ เธอเห็นแต่แง่งามของโลกอย่างคนไม่รู้จักโลก และตลอดชีวิตไม่เคยพานพบความทุกข์ หรือคนเลวๆ บ้างหรืออย่างไร

แต่เมื่อลองอ่าน กะทิ ในรอบที่สอง สาม และสี่ จึงบังเกิดอาการฉุกใจว่า คนเขียนไม่ได้โง่ หรือไร้เดียงสา ขนาดจะไม่รู้ว่าโลกและชีวิตจริงเป็นอย่างไร แต่เขาบรรจงสร้างกะทิ โลกของกะทิ และผู้คนที่อยู่รายล้อมตัวกะทิ มาอย่างชนิดที่ว่าหากเป็นภาพวาด องค์ประกอบทั้งหมดมันลงตัวเป๊ะๆ และไม่มีจุดไหนเลยที่เรียกว่า “ไม่ตั้งใจ” ทุกอย่างถูกดีไซน์มาแล้วอย่างละเอียด ทั้ง ตัวละคร ฉาก และแต่ละถ้อยคำที่นำมาร้อยกันเป็นประโยค เป็นย่อหน้า เป็นเรื่อง

ความสุขของกะทิ บรรจุทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเชื่อ หลงใหล และหลงคิดว่ามันคือความจริงไว้อย่างหมดจดอย่างไม่น่าเชื่อว่ามันอยู่ในหนังสือที่มีความยาวเพียง 118 หน้า