คิมหันต์รัญจวน

I never saw a wild thing
sorry for itself.
A small bird will drop frozen dead from a bough
without ever having felt sorry for itself.

“Self Pity”, D.H. Lawrence

เรานั่งเบียดกันมาในรถตุ๊กๆ–ผู้หญิงสี่คน เนื้อตัวเหนอะหนะ เนื้อหน้ามันย่อง ในท้องว่างเปล่า เราเพิ่งเสร็จจากการขายเสื้อยืดระดมทุนให้กับงานสัมมนาใหญ่ที่มีประชาชนมาร่วมเข้าฟังล้นหอประชุมราคาแพงชิบหายแห่งนั้น ลมร้อนเดือนมีนาผสมลมฝุ่นเมืองฟ้ากระทบเนื้อตัวที่เย็นเยียบให้รู้สึกขนลุกอยู่เป็นวูบๆ ยังดีว่าระยะทางไม่ไกลนัก คุณแค่พา “น้องๆ” มายังที่พักของคุณเพื่อให้ได้ล้างหน้าล้างตา กินข้าวกินปลา และแน่นอน เมื่ออยู่ในบรรยากาศพร้อมหน้า สุราก็เริ่่มริน

คุณจำไม่ได้เสียแล้วว่ามันเริ่มขึ้นมาอย่างไร แต่ก็คงเป็นคุณนั่นละมังที่เริ่มชวนให้พวกเขาคุยให้ฟังถึงประสบการณ์ของพวกเขา ของคนรุ่นพวกเขา พวกเขาเคยร่วมรุ่นมาด้วยกันในระดับปริญญาตรี ก่อนที่ปัจจุบันหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนที่เคยลองเรียนปริญญาโทมาแล้วสองสาขา แต่ตัดสินใจลาออกมาเมื่อพบว่าชั้นเรียนนั้นไม่สามารถตอบสนองความสนใจใคร่รู้ของตนได้อย่างแท้จริง อีกคนสองคนเรียนปริญญาโทจนจบรายวิชาแล้วและเขียนวิทยานิพนธ์ใกล้เสร็จแล้ว แต่คนหนึ่งกำลังตัดสินใจว่าจะหยุดมันไว้แค่นี้ดีหรือไม่ เพราะรู้สึกว่างเปล่าทั้งกับสิ่งที่ได้มาและกระบวนการให้ได้มานั้น ส่วนอีกคนแม้จะเดินหน้าทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความรู้ความมั่นใจใดที่จะกลายเป็นคำตอบต่ออนาคตของตน

คุณถามพวกเขาถึงข้อกล่าวหาที่ว่าคนรุ่นพวกเขาไม่มี “passion” (ความเร่าร้อนอันแรงกล้า?) และดังนั้นจึงแลดูไม่มี “commitment” (การปวารณาต่อพันธกิจ?)

หนึ่งในจำนวนนั้นตอบว่า ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะมี หรือปฏิเสธที่จะมี เมื่อแรกเข้าปริญญาตรีพวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากคนรุ่นใหม่ที่ย่อมจะมีไฟ มีความสนใจใคร่รู้ และมีความรู้สึกเชิดชูหรืออย่างน้อยก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่คนรุ่นก่อนหน้าได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้ แต่แล้วพวกเขาก็เล่าให้คุณฟังถึงประสบการณ์ของภาวะที่คุณคิดว่าอย่างเบาะๆ ก็คงเรียกได้ว่าเป็นอาการ “เสียความรู้สึก”

พวกเขาตื่นเต้นกันน่าดูตอนเข้ามาเรียนปริญญาตรีใหม่ๆ แล้วไปลงเรียนวิชาที่สอนโดยอดีตผู้นำนักศึกษารุ่นใหญ่ผู้เป็นตำนาน ก่อนจะพบว่า “วิชาการ” ที่พวกเขาได้จากชั้นเรียนนั้นคือการนั่งฟังอาจารย์พูดถึงแต่เรื่องราวส่วนตัวของตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ หรือในอีกชั้นเรียนที่อาจารย์อดีตผู้นำนักศึกษาอีกคนแสดงความเก่งกาจเหนือชั้นของตนจนไม่ทันเหลือพื้นที่ให้กับคำถามและข้อสงสัยจากเด็กเมื่อวานซืน ในชั้นเรียนที่พวกเขาตื่นเต้นว่าจะได้เรียนประวัติศาสตร์สังคม ก็กลายเป็นอะไรคล้ายๆ ปาหี่ที่อาจารย์บางทีก็พูดจาหมาหยอกไก่ (หากมิใช่ harassment) กับนักศึกษาผู้หญิง ขณะที่ในรายวิชาที่คาดหวังว่าจะได้ศึกษาและถกเถียงทฤษฎีการเมืองอย่างเข้มข้นจริงจัง พวกเขาก็ต้องหน้าชากับความไม่เปิดกว้างของอาจารย์ที่ทำให้บรรยากาศทั้งห้องเงียบงันอย่างชนิด “มาคุ” เมื่ออาจารย์ไม่ได้โต้แย้งหรือหักล้างกับการเสนอรายงานหน้าชั้นของพวกเขาเรื่องสถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทย แต่ใช้วิธีนิ่งเงียบก่อนจะพูดประชดแดกดันการเสนอความเห็นในลักษณะที่ตั้งคำถามต่อความเชื่อเรื่องธรรมราชา

แรกๆพวกเขาก็เล่าให้คุณฟังผ่านสรรพนามที่เรียกคุณว่า “พี่” แต่เมื่อเรื่องราวต่างๆ พรั่งพรูมากขึ้นทุกที สรรพนามที่ใช้ก็เริ่มเคลื่อนไปสู่การปรับทุกข์กันเองในหมู่พวกเขา โดยเฉพาะเมื่อมาถึงขั้นที่คุณเข้าใจว่าเป็นบทสรุปของการปลดปลง “มึงนึกออกป่ะ เด็กบ้านนอกหลังเขาอย่างกูต้องพยายามหนักขนาดไหนกว่าจะสอบเข้ามหาลัยนี้ได้ แต่เข้ามาแล้วเจอแบบนี้”

หรือไม่ก็ “กูมันคงเป็นได้แค่ธุลีดินจริงๆ โง่ยิ่งกว่าแบคทีเรียเสียอีก”

คุณคิดเอาเองว่า คงด้วยประสบการณ์แบบนี้กระมังที่นำไปสู่การลังเลที่จะสังกัดตัวเองอยู่ในพื้นที่ไหนทั้งในทางวิชาการและในทางอุดมการณ์อันมีคนรุ่นก่อนหน้าเป็นตัวแทน ทั้งนี้ยังไม่นับเรื่องอาการสลับขั้วทางอุดมการณ์ของคนบางเจเนอเรชั่นที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงกันให้เฝืออีกแล้ว คุณยังขำไม่หายเมื่อนึกถึงฉากสถานการณ์คล้ายๆ กันในนี้ในอีกวงสนทนาที่ก็มี “น้องๆ” กลุ่มนี้บางคนร่วมอยู่ และมีคนรุ่น “ตุลาๆ” ร่วมอยู่ด้วย

มันเป็นคืนวาเลนไทน์ในร้านอาหารที่โต๊ะอื่นๆ ในร้านมีแต่คู่หนุ่มสาว แต่เราหกคนสามรุ่นมานั่งกินข้าวปรับทุกข์ หลังจากรุ่นเด็กสุดถูกตั้งคำถามไล่รุกเรื่อง “passion” แล้ว รุ่นใหญ่ก็มาไล่บี้กันเองว่าทำไมคนรุ่นพวกเขาเองที่มี passion นักหนาถึงได้กลับตาลปัตรกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วหนึ่งในคนรุ่นใหญ่สองคนนั้นก็ระเบิดออกมาอย่างเอือมระอาที่จะหาคำตอบแล้ว “ก็คนรุ่นเรามันชั่วไง!” ว่าแล้วเขาก็ขยายความต่อไปขณะกดปลายมีดหั่นขาหมูทอดแจกคนร่วมโต๊ะ “ก็ที่มันวุ่นวายทุกวันนี้ก็คนรุ่นเราทั้งนั้นแหละ พคท. มันก็เหมือนเจ้านั่นแหละ ดูวิธีที่มัน indoctrinate สิ มันถึงกลับมาซบง่าย ก็แค่เปลี่ยนตัวบน!”

คุณเองก็ไม่ได้มีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้เหมือนกัน การมานั่งทำหนังสืออยู่อย่างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นทางออกที่เป็นจริงกว่าเสียที่ไหน มันก็แค่วิชาชีพอย่างหนึ่งที่ไม่มีหน้าจะไปเคลมทางอุดมการณ์ใด พอๆกับที่ยังละอายว่าจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็ยังไม่ค่อยจะมีปัญญา สิ้นหวังได้ถึงขนาดต้องขอเงินบิดามาซื้อสลากออมสินเผื่อถูกหวยซักงวดใหญ่ๆมาเป็นทุนต่อลมหายใจของ “สำนักพิมพ์”–กิจการกระจอกๆ สิ้นท่า ที่ล่าสุดก็เพิ่งมีบรรณาธิการถูกตัดสินจำคุกเพราะศาลดันเชื่อว่าตัวละครอุปโลกน์ในข้อเขียนเชิงอุปมาชิ้นหนึ่งไปหมิ่นกฎหมายอุปโลกน์ที่ใหญ่คับฟ้ามาตราหนึ่ง นี่ขนาดว่าบรรณาธิการคนนั้นไม่ทันได้อ่านบทความที่ว่าเสียด้วยซ้ำ ถ้าบทความอะไรแบบนั้นมาพิมพ์แถวนี้ บรรณาธิการมิต้องถูกกุดหัวเจ็ดชั่วโคตรกันเลยหรือ เพราะกว่าหนังสือจะออกแต่ละทีนี่อ่านกันแล้วตรวจกันอีกอยู่ไม่รู้กี่รอบ คุณโกรธชิบหายเมื่อนึกถึงว่าวิชาชีพบรรณาธิการนี่มันด้อยศักดิ์กว่าวิชาชีพทางศาลหรืออย่างไร จึงไม่มีสิทธิใช้และยืนยันวิจารณญาณของตัวเองได้ว่าตัวอักษรไม่กี่บรรทัดที่ตัดสินใจพิมพ์ไปนั่นน่ะ มันคือความสร้างสรรค์ของผลงานลายลักษณ์ที่มีมิติรุ่มรวยกว่าภาษาดาดๆที่เก่งแต่วางอำนาจโดยอ้างคำว่า “ในพระปรมาภิไธย”

โกรธไปก็เท่านั้น วันๆ คุณก็ไม่ได้สามารถทำอะไรได้นอกจากพิมพ์หนังสือขาย แต่การได้ไปช่วยทำเสื้อยืดขายหาทุนให้กับงานสัมมนาที่ผ่านมาก็ทำให้คุณเริ่มคิดว่าบางทีคุณควรจะเปลี่ยนอาชีพได้แล้ว ขายเสื้อยืดวันเดียวหาเงินได้มากกว่ารายได้ในรอบสามเดือนที่ผ่านมา(และอาจรวมถึงอีกสามเดือนข้างหน้า)ของการพิมพ์หนังสือขายเสียอีก และหากคิดถึงผลสัมฤทธิ์ในทางเนื้อหาแล้ว บางทีตัวหนังสือบนกระดาษเป็นร้อยหน้าก็คงไม่ได้ช่วยกระตุกให้ผู้พิพากษาบางคนไปหัดอ่านหนังสือให้แตกกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้เท่ากับวลีสั้นๆ สองพยางค์บนเสื้อยืดที่ขาย – “Just Shit !”

เวลาคุณโกรธแล้วก็เป็นแบบนี่ล่ะ สวิงไปซะสุดทาง แต่เมื่อมานั่งสงบสติทบทวนก็เข้าใจได้อยู่หรอกว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื้อยืดขายดีในกรณีนี้ ก็เป็นเพราะประชาชนจำนวนมากต้องการแสดงออกให้เห็นว่าพวกเขาสนับสนุนการใช้ปัญญาของนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่จัดงานสัมมนาเพื่อวิจารณ์คำพิพากษาและกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย เสื้อยืดที่ทำมาขายจึงมีความหมายมากกว่าสินค้าอาภรณ์

และเอาเข้าจริงคุณก็ยังไม่อาจตัดใจทิ้งจากงานทำหนังสือไปขายเสื้อได้ ลำพังการที่คุณต้องเริ่มเปิดออฟฟิศ (หลังจากปิดไว้ทำงานเงียบๆ มานาน)เพื่อขายหนังสือหาเงินด้วยตัวเองนับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็ทำให้คุณโกลาหลกับการปรับตัวครั้งใหญ่นี้ไม่น้อย เวลาในการทำงานต้นฉบับถูกแบ่งซอยย่อยไปให้กับการคิดเงิน ทำบัญชี งานเอกสาร ภาษี รับโทรศัพท์ และรับลูกค้า! ความร้อนระอุจากหลังคาที่เป็นดาดฟ้าทำให้ค่าไฟออฟฟิศพุ่งกระฉูดเมื่อทุกคนต้องเข้ามานั่งทำงานพร้อมหน้า หลังจากที่เคยรัดเข็มขัดค่าแอร์ด้วยการที่ต่างคนต่างทำงานอยู่บ้านของตัว เมื่อจะขายของก็ต้องมาคอยรับโทรศัพท์สำนักงาน คอยรับหน้าลูกค้าที่มักจะโผล่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณจำได้ถึงในวันแรกที่มีลูกค้ามาหาขณะที่คุณและน้องๆกำลังขนหนังสือจัดพื้นที่ทำสต็อคกันอยู่วุ่นวาย ผู้ชายในชุดเสื้อผ้าเป็นทางการแปลกตาจู่ๆก็เดินเข้ามาถามหาขอซื้อวารสารอ่าน คุณปาดเหงื่อแทบไม่ทันขณะวิ่งไปรับหน้าอย่างหวั่นๆ ทำงานมาหลายปีในออฟฟิศที่มีคนเคยบอกว่าเงียบยังกะหอสมุดแห่งชาติ ทั้งยังเป็นเสมือนพื้นที่ส่วนตัวและแทบไม่เคยมีใครรู้จักแห่งนี้ การมีคนมาหาถึงที่โดยไม่ได้นัดหมายแทบจะทำให้คุณอยากขุดคูน้ำล้อมรอบแล้วสร้างสะพานข้ามแบบที่สามารถชักขึ้นได้หากยังไม่พร้อมจะรับแขก

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในบรรยากาศของ “112 ครองเมือง” อย่างทุกวันนี้ การทำหนังสือเกี่ยวกับการวิจารณ์แล้วจู่ๆมีคนมาหาถึงสำนักงานก็มีแต่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง ครั้นปราดสายตาสำรวจไปยังรองเท้าหนังปลายแหลมมันปลาบและกางเกงสแล็คสีออกขรึมโทนเข้มของเขาแล้ว ความหมกมุ่นกับเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ในวัยเยาว์ก็ยิ่งทำให้คุณอนุมานเอาว่าเขาเป็นจำพวกบุคคลในเครื่องแบบ แม้น้ำเสียงและท่าทีสุภาพอย่างเกรงอกเกรงใจของเขาจะไม่ได้ทำให้คุณวางใจ แต่มันก็ทำให้คุณเกรงใจที่จะไม่รักษาน้ำใจเขา คุณรีบวิ่งไปหยิบหนังสือมายื่นส่งให้จากตรงเชิงบันได นอกจากจะไม่ได้เชิญเขาขึ้นมานั่งพักสนทนาแล้ว คุณยังเสียมารยาทถามเขาไปตรงๆ แม้จะอย่างเหนียมๆว่ารู้จักออฟฟิศแห่งนี้ได้อย่างไร และ เอ่อ…ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณทำงานอะไรเหรอคะ

ช่างหยาบคายและทำร้ายน้ำใจเขาจริงๆ คุณนึกด่าตัวเองเมื่อฟังเขาอธิบายว่าเขานั่งรถเมล์มาจากที่ทำงานคือสำนักงานสรรพากรซึ่งอยู่ไม่ไกล เพราะดูในเว็บไซต์เห็นโฆษณาว่าวารสาร อ่าน เล่มใหม่ออกจากโรงพิมพ์แล้ว เขาไม่อยากรอซื้อที่ร้าน เมื่อเห็นว่าอยู่ไม่ไกลกัน ก็เลยลองดุ่มๆมาเอง หลังจากเขารับหนังสือกลับไปแล้ว ในช่วงบ่ายก็มีแฟกซ์ส่งเข้ามา เป็นเขาอีกนั่นเองที่เขียนมาอธิบายไว้อีกครั้งว่าเขาเป็นใคร ทำงานอยู่ที่ไหน และด้วยลายมือที่ตวัดหางอย่างพลิ้วเป็นจังหวะนั้น เขายืนยัน “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภาษีอะไรทั้งสิ้น แค่เป็นแฟนหนังสือ อยากอ่านหนังสือไวๆ ก็เท่านั้นครับ ขอโทษด้วยครับที่ดูแปลกๆ”

คุณอ่านแล้วก็นึกละอาย นี่คงไปแสดงกิริยาเสียจนเขารู้สึกได้ว่าระแวง สรรพากรน่ะไม่กังวลเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะไม่ค่อยมีรายได้จะให้ไปซุกซ่อนที่ไหน แต่อาการหวาดผวาที่หนักหนากว่าสำหรับการเป็นประชาชนใต้ฟ้าเมืองไทยคือกลัวว่าวันหนึ่งวันใดจะมี “เจ้าพนักงาน” มาหา แล้ววิจารณญาณของเราก็จะถูกปัดตกอย่างไร้ค่าเมื่อถูกกล่าวหาว่าเข้าข่ายความผิดที่จะถูกลงโทษตามคำพิพากษาในพระปรมาภิไธยขึ้นมาอีก

แต่โลกใบเล็กๆของคุณที่อะไรต่ออะไรก็ดูเป็นเรื่องใหญ่ให้กังวลอยู่ตรงหน้าแห่งนี้ ก็รายล้อมอยู่ด้วยโลกอีกใบที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ดิ้นรนอยู่ไม่ต่างกัน และการที่ต้องเข้ามานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศทุกวันทำให้คุณค่อยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนรายรอบห้องออฟฟิศเล็กๆในตึกแถวเก่าๆหลังนั้นที่คุณไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับใครตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างป้าที่ขายกาแฟรถเข็นริมถนนที่คุณเดินผ่านหน้าแกมาเป็นปีโดยไม่เคยสนทนา วันหนึ่งที่คุณเดินกางร่มมาท่ามกลางแดดจัด จังหวะของสายตาที่ตวัดมาสบกันโดยบังเอิญก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างส่งยิ้มให้ “ร้อนเนอะ” วันรุ่งขึ้นในยามบ่ายอบอ้าว คุณลองออกไปซื้อชามะนาวที่รถเข็นของแก หลังจากน้องๆคุยให้ฟังมานานว่าชามะนาวร้านนี้หอมกลิ่นมะนาวที่ป้าแกคั้นสดใหม่ทุกครั้ง คุณมายืนหน้ารถเข็นขณะที่แกกำลังง่วนตักนมสดร้อนๆจากถังใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ มัดยางทีละถุง แล้วรวบทั้งหมดนั้นใส่ถุงใบใหญ่ ผู้หญิงวัยกลางคนและเด็กหนุ่มคนหนึ่งรับถุงนั้นจากมือแกแล้วเดินไปขึ้นรถเก๋งคันใหญ่ที่ออกตัวไปได้ไม่ทันเท่าไหร่ป้าก็หันมาเล่าให้คุณฟังเองโดยไม่ต้องรอให้ถาม ว่า “คุณ” เขาเป็นเจ้าของตึกแถวริมถนนหลังนั้นที่แกได้อาศัยพื้นที่ฟุตบาธด้านหน้าตั้งรถเข็นขายกาแฟ ตัวตึกแถวนั้นปิดทิ้งร้างไว้ ยังขายไม่ได้ ป้าแกก็ไม่อยากจะให้ขายได้ซักเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของคนใหม่จะใจดีแบบนี้หรือเปล่า และแกก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นได้ “ป้ามาตั้งรถเข็นทุกวันตั้งแต่ตีสอง ต้มน้ำ เตรียมของให้ทันขายแต่เช้ามืด ทำอย่างนี้มาตั้งแต่ลูกชายของคุณเขาเพิ่งหัดเดิน จนนี่เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว” ไม่ต้องถามว่าแกรวยไหม ไม่ต้องถามอีกเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปทำงานอะไรที่จะทำให้ชีวิตบั้นปลายไม่ต้องมาตั้งรถเข็นขายของตั้งแต่ตีสอง และไม่ต้องถามถึงหลักประกันอะไรที่มากไปกว่าตราบเท่าที่คุณคนนั้นยังขายตึกไม่ได้

เวลาผ่านไปเป็นปีอีกเหมือนกัน กว่าที่คุณเพิ่งเข้าใจในน้ำใจเอ็นดูของผู้เป็นเจ้าของตึกแถวที่ให้คุณมาอาศัย หลังจากได้พูดคุยสัพเพเหระกันบ้างเวลาที่ลงไปกินข้าวแกงที่เขาทำขาย ว่าในอดีตนั้นชุมชนละแวกนี้เคยเป็นที่ทำงานและคลุกคลีของคนทำหนังสือและนักเขียนรุ่นก่อนหน้า พี่สาวใจดีที่คนแถวนั้นเรียกกันว่าเจ๊ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวความหลังทั้งมิตรภาพและความขัดแย้ง ทั้งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของกิจการสำนักพิมพ์และคนทำหนังสือทั้งหลายในย่านนี้ที่เคยได้มาเป็นลูกค้าฝากท้องกับข้าวแกงของแก เจ๊เล่าถึงความเจ็บช้ำของเจ้าของกิจการที่ต้องขายแท่นพิมพ์ไปในราคาถูกเมื่อ “การสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นจากกองกระดาษ” ของเขาไม่อาจฝืนต้านการเข้ามาของทุนกิจการพิมพ์ที่มี “คอนเน็คชั่น” ที่ “สูง” กว่า วัฏสงสารแห่งวงการคนทำหนังสือได้อยู่ในสายตาของร้านของชำและร้านข้าวแกงแห่งนี้มานานพอที่จะทำให้พวกเขาเห็นใจและให้กำลังใจกิจการของคุณที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างไม่อาจเทียบได้กับตำนานเหล่านั้น ในแต่ละวันเจ๊มักจะแบ่งขนมหรือผลไม้ที่ใช้ไหว้เจ้าเสร็จแล้วมาให้คุณกินเล่นยามบ่ายพร้อมกำชับว่าเป็น “ของไหว้” กินแล้วจะได้ “เฮงๆ”

การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันกับโลกชุมชนรอบข้างดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้นอีกเมื่อวันหนึ่งมีแมวจรตัวผู้ตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าตึก ด้วยท่าทางที่ดูฉลาดและด้วยอาการออดอ้อนของมัน ทำให้เจ้าของบ้านอดไม่ได้ที่จะรับเลี้ยงไว้ แล้วรุ่งขึ้นอีกวันมันก็พาภรรยากำลังท้องอ่อนๆ หน้าตาจิ้มลิ้มมาขออยู่ร่วมชายคาด้วยอีกตัว ทั้งเจ้าของบ้านและผู้อาศัยไม่อาจทนใจแข็งไม่อุปการะได้ การณ์จึงกลายเป็นว่าทุกเช้ามืดสองผัวเมียวิฬาร์ก็จะได้กินข้าวคลุกปลาทูของเจ๊ แล้วสายๆ ก็มานั่งสลอนรอคุณและน้องๆมาเปิดออฟฟิศให้ทั้งคู่ได้เข้ามากินอาหารเม็ดและกินนม ก่อนจะหามุมนอนสบายใจบนเก้าอี้บ้าง ใต้โต๊ะบ้าง บนกองหนังสือบ้าง ให้เจ๊ค่อนอย่างเอ็นดูแกมหมั่นไส้ว่ามันอยากจะได้หลบร้อนไปตากแอร์กะเขามั่ง

ผู้อาศัยรายใหม่คู่นี้เป็นที่สนใจของผู้คนละแวกนั้นอยู่ไม่น้อย แต่ผ่านไปไม่ถึงสองสัปดาห์ เจ้าหง่าวผู้ผัวจู่ๆก็ผอมซูบไม่มีแรง จับดูเนื้อตัวเหมือนเป็นไข้ คุณกับน้องๆทุลักทุเลพาไปหาหมอ ผลการวินิจฉัยปรากฏว่าเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องดูแล เท่านั้นเองก็เริ่มเป็นที่โจษขานว่าแมวบ้านนี้มันมีบุญ เพราะมี “คุณๆ” เขาใจดีพาไปหาหมอ จากนั้นก็เริ่มมีคนมาฝากเงิน “ทำบุญแมว” ไว้ให้ แล้วผลบุญนั้นก็เริ่มเป็นที่โจษจันขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าหง่าวเริ่มให้หวย มีคนถูกไปแล้วสองงวด

หลังจากเพียรพยาบาลจนเจ้าหง่าวอาการดีขึ้น เช้าวันหนึ่งเจ๊ก็ละล่ำละลักบอกคุณทันทีที่พบหน้า ว่าเจ้าสีนวลผู้เมียถูกหมาไล่ฟัด ตอนนี้บาดเจ็บ เอายาแดงใส่ไว้ รอปรึกษาคุณว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ทั้งครอบครัวของเจ๊ทั้งเป็นห่วงแมวทั้งโกรธเจ้าของหมา “ก็ไอ้หมาของตาทิ้งกับยายพรน่ะสิ” เจ๊เล่าประวัติพฤติการณ์ของหมาสองตัวนี้ที่กัดไม่เลือกหน้า เวลาหมาของตัวไปกัดใครเจ้าของก็ยังไม่ยอมรับผิด “บอกว่าหมามันไม่รู้เรื่อง” วีรกรรมของหมาทำให้เจ้าของต้องทะเลาะกับคนไปทั่ว “ถึงขนาดมีคนเคยสาดน้ำร้อนใส่หมาจนด่ากันไม่มองหน้าอีกเลยมาแล้ว” คุณสะดุ้ง สาดน้ำร้อนเลยเหรอคะ “ใช่ ก็ป้าแกขายกาแฟไง” คุณสะดุ้งอีก แต่ก็พยายามจะรักษาสายตาคนนอกที่ไม่ตัดสินใคร เอ่อ กาแฟรถเข็นนั้นน่ะเหรอคะ

เจ๊เล่าอีกว่าทุกเช้ามืดที่เจ้าของหมาเข็นรถลากอุปกรณ์ไปขายของผ่านหน้าบ้านเจ๊ หมาสองตัวก็เดินตามเป็นบอดี้การ์ด แมวสองตัวเมื่อได้ยินเสียงรถลากก็ผวาวิ่งไปหลังบ้านไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา เมื่อถามว่าเขาขายอะไรที่ไหน แกว่าก็ขายอาหารตามสั่งอยู่ปากซอยโน้นไง คุณฟังแล้วก็ตกใจ อพิโธ่ ป้าคนนั้นเอง เห็นกันมาตั้งนานไม่เคยรู้ว่าแกชื่ออะไร ไม่รู้ว่าแกอยู่ในซอยเดียวกันนี้ด้วยซ้ำ จำได้ว่าตอนที่เคยไปเป็นเพื่อนน้องๆซื้อข้าวที่เพิงอาหารเก่าๆของแกครั้งแรก คุณถึงกับไม่กล้ากลับไปอีกนานเพราะวันนั้นขณะยืนรอคิวข้าวผัดกะเพรา คุณมองดูยายพรทำผัดซีอิ๊วโดยใช้ปลายมีดตวัดหนังจากคอไก่ท่อนเล็กๆ ผสมกับชิ้นเนื้อที่สภาพเรียกได้ว่าเป็นเศษของเศษไก่ในชามเก่าๆ ยายพร โยนทั้งหมดนั้นลงไปผัดในกระทะแล้วเปรยขึ้นเมื่อเห็นคุณมองอยู่ “ทำให้ฝรั่งมันกิน แค่นี้ก็ได้ มันไม่รู้เรื่องหรอก” คุณเหลือบไปทางหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะปูผ้าพลาสติกเก่าๆ ในเพิงแล้วก็ให้นึกสงสาร การเฝ้าดูแกทำอาหารทั้งหมดนั้นบนเตากระทะที่เขม่าคราบน้ำมันจับเขรอะไปทั่วทำให้ต่อมาคุณไม่แน่ใจว่าที่คุณกินผัดกะเพราของแกแล้วท้องเสียนั้นเป็นด้วยอุปาทานหรือว่าอาหารเป็นพิษจริงๆ

แต่ยายพรคนเดียวกันนี้แหละที่น้องๆของคุณได้อาศัยฝากท้องเพราะมักกินข้าวเที่ยงเลยเวลาจนเจ๊เก็บข้าวแกงไปแล้ว คุณสังเกตว่ายายพรจะเอ็นดูน้องๆ หน้าซีดๆ ตัวเล็กๆ ของคุณเป็นพิเศษ ข้าวที่อยู่ในจานแม้จะเม็ดหยาบแข็งแต่มันก็พูนเป็นกองใหญ่ โปะกับข้าวไม่อั้นไม่ว่าเนื้อหมูเนื้อไก่ บางวันทันได้เห็นแกผัดหมูกรอบใส่กล่องโฟมจนล้นให้กับผู้ชายเนื้อตัวมอมแมมที่จูงเด็กกะโปโลมาด้วยกัน สำนึกของการเกื้อกูลเพื่อนร่วมชนชั้นแต่ฟันเต็มที่กับพวกที่แกมองว่ามั่งมีเช่นนี้มาจากไหนคุณไม่อาจรู้ได้ และมันยังคงดำเนินต่อไป ทุกวันคุณเห็นพนักงานระดับล่างของออฟฟิศแถวนี้มากินเต็มทุกโต๊ะ พอบ่ายสองที่เราไปกินกันหลังความวุ่นวายผ่านไป บางครั้งแกถึงกับขอตรงๆว่าวันนี้อย่าสั่งผัดซีอิ๊วได้ไหม เมื่อกี้เพิ่งผัดไปสี่ห่อ ยกตะหลิวผัดเส้นใหญ่จนปวดแขนไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นแก่หัวอกซึ่งกันและกันประสาคนทำมาหากินไปวันๆเสียอย่างนี้แล้ว คุณก็ได้แต่พาสีนวลไปรักษา แกก็ยังคงขายข้าวในราคาถูกและแถมไม่อั้นให้กันต่อไป ส่วนเจ๊ก็ช่วย “บอกบุญ” กับใครๆ จนคุณได้เงินลงขันช่วยค่ารักษาแมวมาพอให้ไม่ต้องลำบากกันไปกว่านี้ ค่าใช้จ่ายอย่างเดียวที่ดูเหมือนคงจะไม่ได้บอกบุญกันคือเมื่อวันหนึ่งคุณตัดสินใจเจรจาว่าจะพาแมวผัวเมียคู่นี้ไปทำหมัน เพราะตัวผัวบาดเจ็บรายวันจากการออกไปเที่ยวซ่าประสาลูกผู้ชายเสาะหาชีวิตจริง ส่วนตัวเมียท้องแก่นั้นถ้าคลอดคราวนี้แล้วก็ควรจะปิดอู่ได้เสียทีเพราะไม่รู้จะเลี้ยงยังไงไหว แต่ครอบครัวเจ๊ทำใจลำบาก มีคนบอกแกว่าการทำหมันมันบาป บาปสำหรับตัวเมียที่จะทำให้ชีวิตใหม่ไม่ได้เกิด บาปสำหรับตัวผู้ที่จะสูญเสียความเป็นลูกผู้ชาย แต่ถึงที่สุดเจ๊ก็ว่าแล้วแต่จะตัดสินใจ เพราะเจ๊ก็เกรงใจที่ต้องคอยวุ่นวายกับการช่วยดูแล สุดท้ายในระหว่างขายเสื้ออยู่อลหม่านหน้างานสัมมนานั้นเองที่หมอจากคลินิคที่คุณพาเจ้าหง่าวไปฝากรักษาโทรมาหา ถามว่าผลการตรวจเลือดพบว่าร่างกายเจ้าหง่าวพร้อมแล้ว ตกลงจะให้ทำหมันเลยไหม คุณตัดสินใจกับน้องๆ ว่าให้หมอจัดการไป ทั้งขอฝาก “แอดมิท” ไว้อีกคืนเพราะเย็นนี้คุณและน้องๆ คงหมดสภาพเกินกว่าจะกลับไปป้อนน้ำป้อนยาดูแล

เย็นวันนั้นคุณกับน้องที่มาช่วยขายเสื้อนั่งนับเงินกันอยู่ตรงหน้าหอประชุม(ราคาแพงชิบหาย)แห่งนั้น น้ำตาแทบไหลเมื่อพบว่านอกจากจะคืนทุนแล้วยังมีกำไรเหลือพอจะให้จัดสัมมนาอีกครั้งก็ยังน่าจะไหว แต่เงินเป็นกองตรงหน้าก็ทำให้คุณอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้หญิงคนนั้นที่ป่านนี้คุณก็ยังไม่รู้จะหาเงินมาช่วยให้เธอตั้งหลักใหม่หลังจากสามีต้องตายอย่างเดียวดายในคุกเพราะกฎหมายบ้าๆนั่นได้อย่างไร นึกถึงนักโทษคนนั้นที่คุณยังไม่ได้ตอบจดหมายหลังจากที่คุณและน้องได้ไปเยี่ยมและระดมซื้อข้าวของให้ราวกับจะชดเชยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น เงินที่ใช้ในการจัดงานสัมมนาครั้งนี้มากโขเมื่อเทียบกับการประทังความเดือดร้อนของคนหาเช้ากินค่ำที่เป็นเหยื่ออธรรม แต่มันก็เป็นหนึ่งในความพยายามของผู้คนในโลกวิชาการกลุ่มนี้และอีกบางคนที่มี passion พอที่จะถือเป็นพันธกิจที่จะทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขเสียที่ต้นเหตุ และกระทั่งกิจการของคุณเองก็อาจพลอยได้อานิสงส์หากว่ามันจะทำให้คุณและน้องๆทำงานกันได้โดยไม่ต้องประสาทแดกว่าจะถูกเล่นงานจากกฎหมายที่นับวันก็มีแต่จะทำให้เสรีภาพในการคิด เขียน พิมพ์เผยแพร่ และขายเลี้ยงชีพนั้นหดหายลง มันเหมือนไต่อยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาที่ต้องคอยประเมินว่าข้อความหนึ่งหนึ่งจะเข้าข่ายหนึ่งหนึ่งสองหรือไม่ และหากแม้เห็นชัดๆตามตัวอักษรว่าไม่ผิด ก็ยังต้องคิดเผื่อต่อไปถึงการตีความในแบบอื่นๆว่าจะถูกลากไปเป็น “เจตนาภายใน” ที่ไม่มีใครรู้แต่ศาลดันตรัสรู้ได้อีกหรือไม่ หรือจะเข้าข่าย “กระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชนทั่วไปผู้จงรักภักดี” ที่ก็ไม่รู้ว่าไปสำรวจโพลมาตอนไหน ที่หนักกว่านั้นคือจากที่ก่อนหน้านี้ต้องคอยเช็คข้อเท็จจริงมิให้เป็นการบิดเบือน คลาดเคลื่อนหรือให้ร้าย แต่คำพิพากษาคดีคนขาย “ซีดีเอบีซี” ก็ทำให้กระบวนการพลิกกลับว่าอย่าเช็คจนเป็นข้อเท็จจริงที่จริงเกินไป

ใต้เท้าคะ บางทีคุณสงสัย ควรมิควรจะให้เปลี่ยนอาชีพไปขายข้าวแกงหรือเพาะแมวขายกันแล้วแต่จะโปรดเลยดีไหมคะ

ในงานกิจกรรมเดินขบวนเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองเมื่อวันที่ 29 มกราคม คุณกับน้องๆ รวมถึงน้องคนที่ไม่ใส่ใจว่าวิทยานิพนธ์ของตัวเองจะเสร็จทันต่อไปอีกแล้วหรือไม่ พากันไปเดินขบวนกับเขาพร้อมคนทำมาค้าขายที่ทิ้งกิจการยอมขับรถทางไกลมาร่วมเดินตากแดดร้อนในการรณรงค์ครั้งนี้แม้ไม่มีใครรู้ว่าจะสัมฤทธิ์ผลแค่ไหน ระหว่างพักรอการเจรจากับรัฐบาล เราไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านเล็กๆละแวกนั้น เช่นกันกับประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ในร้านที่อื้ออึงด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความอยุติธรรมทางกฎหมายจากบรรดาประชาชนหน้าดำคล้ำแดดที่โบกพัดไล่ลมร้อนกันอยู่วุ่นวายนั้น มีเสียงเพลงเบาๆ แว่วจากในร้านที่ไม่ทันมีใครตั้งใจฟัง น้องคนหนึ่งเปรยขึ้นว่าอากาศอย่างนี้ฟังเพลงแบบนี้มีแต่ชวนให้หลับ คุณสารภาพอย่างเขินๆว่าทำนองเพลงแบบนี้คุณฟังแล้วทั้งเย็นทั้งอบอุ่นใจราวกับกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นอย่างปลอดภัยอยู่ในบ้านคุณปู่คุณย่า “หงษ์ร่อนผกเผิน บินดั้นเมฆเหิรเกินปักษา กางปีกกวักลมท่วงทีสมสง่า เหินลมล่องฟ้านภาลัย” คุณจำเสียงนักร้องคนนี้ได้ และให้บังเอิญที่เขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ต้องขังจากกฎหมายบ้าๆอีกเหมือนกัน ในจังหวะวอลซ์ชวนเคลิ้มนั้นทำให้คุณนึกถึงบทสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งที่ต้องแปลเพลงอะไรคล้ายๆ อย่างนี้ที่ขับร้องโดยศิลปินหญิงอีกคนหนึ่ง เขาปรึกษาคุณว่าควรแปลคำว่า “รัญจวน” ว่าอย่างไร “ใช่ passion ไหม ?” เขาถาม

คุณลังเลว่า กระทั่งความหมายในภาษาไทยคุณก็ไม่แน่ใจว่ามันคือภาวะอย่างไหน ในพจนานุกรมบอกว่าเป็น “ภาวะปั่นป่วนใจ” คุณจะเลือกอย่างไรว่านิยามไหนจะครอบคลุมทุกนัยยะของทุกสภาวะนั้นที่เกิดขึ้นพร้อมกัน “หลับตื่นคืนวันหวาดหวั่นรัญจวน โอ้ลมหวนอวลป่วนอารมณ์” คุณนึกถึงในยามกลางคืนที่เพื่อนข้างห้องของคุณซึ่งเป็นผู้พิพากษามักจะเปิดเพลงสุนทราภรณ์เสียงดังข้ามผนังกำแพงมาถึงหัวเตียงของคุณ และคุณก็ไม่เคยกล้าจะไปเคาะประตูบอกว่าช่วยระวังการใช้ดุลพินิจของเขาที่จะกระทบสิทธิของคุณบ้างได้ไหม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภายใต้ชายคาที่คนแถวนั้นเรียกคุณว่าคุณและเรียกเขาว่าท่าน เราไม่เคยกระทั่งจะคุยกันซักคำ ยังดีว่ารสนิยมการฟังเพลงของเขาไม่ถึงกับทำให้คุณได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินไป ในค่ำคืนที่ยังคงไม่สามารถตอบว่า ระหว่าง “passion” กับ “ปั่นป่วนใจ” อย่างไหนคือคำตอบของภาวะที่กำลังเผชิญอยู่นี้ได้ คุณได้แต่ข่มตาหลับไปพร้อมกับเสียงเพลงที่ลอยมาจากห้องของเขาหรือจะเป็นเสียงร้องในหัวของคุณเองก็ไม่แน่ใจ

หวีดหวีดวอนวอนอ้อนโอดโอยมา โอ้อนิจจาอ่อนอาลัย

ก็ดิ้นรนกันจนถึงนาทีสุดท้าย และให้มันรู้กันไป

ใต้ฟ้าแล้งร้อนก็มีนกหนาวจนแข็งตายที่ร่วงจากคบไม้ – ไม่รัญจวน.