พระเจ้าในหนังฮอลลีวู้ด

หนังฮอลลีวู้ดมักเป็นที่วิจารณ์ของศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่เสมอ นอกจากในแง่ที่เป็นตัวแทนลัทธิบริโภคนิยมและตัณหาแล้ว หนังฮอลลีวู้ดมักเอาศาสนามา ‘เล่น’ อย่างไม่กลัว ‘ลบหลู่’ แม้ว่าจะมีขีดจำกัดพอประมาณและเน้นที่ศาสนาคริสต์ อาจเป็นเพราะคริสต์เป็นศาสนาของผู้ชมส่วนใหญ่ หรือเป็นเพราะคริสต์ศาสนิกชนใจกว้างพอที่จะอดทนมากกว่าศาสนิกชนศาสนาอื่นก็ตามแต่

ก็มีอยู่บ้างที่คริสต์ศาสนิกชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนังฮอลลีวู้ด ถึงขั้นต่อต้านจนไม่ยอมดูหนังก็มี ในเว็บไซต์ christiananswers.net คอลัมนิสต์คนหนึ่งอ้างตัวเลขการวิจัยสำรวจความคิดเห็นว่า บุคคลที่ทำงานในฮอลลีวู้ดมีแนวคิดทางศาสนาสวนทางกับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ในแบบสอบถามนี้ ชาวฮอลลีวู้ดที่ตอบว่านับ ถือศาสนามีเพียงร้อยละ 45 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันที่ยืนยันว่าตัวเองไม่มีศาสนามีแค่ร้อยละ 41

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าฮอลลีวู้ดจะไม่เอาใจคริสต์ศาสนิกชนเสียเลย โดยเฉพาะเมื่อหนังอย่าง The Passion of the Christ (2004) ของ เมล กิ๊บสัน สามารถทำรายได้ถล่มทลายอย่างคาดไม่ถึง ฮอลลีวู้ดรักพระเจ้า ตราบที่พระเจ้าทำกำไรให้ แต่หากรักพระเจ้ากันอย่างตรงไปตรงมาเกินไป หนังฮอลลีวู้ดก็คงดูไม่สนุกสักเท่าไร ถ้าหนังทุกเรื่องจบแบบ I Am Legend (2007) ในฉากจบที่ประตูเปิดให้เราเห็นโบสถ์ หรือมีโครงเรื่องแบบ The Book of Eli (2010) ที่พระเอกตาบอดถือหนังสือคัมภีร์ไบเบิลเล่มสุดท้ายในโลก มีเสียงสวรรค์คอยกระซิบบอกทางและปัดกระสุนให้เป็นครั้งคราว เราคงรู้สึกถูกฮอลลีวู้ดทรยศเงินในกระเป๋าของเรามากกว่าทุกที

ประเด็นพระเจ้ากับซาตานเป็นหัวข้อหลักของหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง และน่าจะเป็นประเด็นที่ยังขายได้ไปอีกนาน ในที่นี้ผู้เขียนจะอ้างถึงเฉพาะหนังประเภทที่ผู้เขียนชอบดู กล่าวคือ หนังแอ็คชั่นและหนังสยองขวัญสั่น ประสาท ส่วนการเลือกหนังที่นำมายกตัวอย่างนั้นเป็นการสุ่มตามอำเภอใจของผู้เขียนเป็นหลัก