คำสารภาพบังเอิญเกิด: ว่าด้วยประวัติศาสตร์การกักขังโดยมิชอบ

บ่ายวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ฉันไพล่ไปอยู่แถวกระทรวงมหาดไทยหลังเสร็จนัด นอกจากจะไม่มีอาหารเที่ยงตกถึงท้องแล้ว มื้อเช้าก่อนหน้านั้นของฉันก็มีเพียงกาแฟแก้วเดียว เมื่อเห็นรถขายกล้วยทอดริมถนนเฟื่องนคร ฉันจึงตรงเข้าไปซื้อมาสิบบาท ถุงใส่กล้วยทอดที่ฉันรับมานั้นทำจากกระดาษเอ 4 ที่ใช้แล้ว ขณะกินเผือกทอดอยู่ฉันสังเกตเห็นว่าข้อความบนถุงกระดาษไม่ใช่ตัวเลขหรือแบบฟอร์มที่เคยเห็นกันทั่วไปบนถุงขนม แต่กลับมีถ้อยคำที่ฉันคุ้นเคยอยู่ด้วย คือคำว่า “การกักขังโดยมิชอบ” ด้วยความประหลาดใจ ฉันจึงฉีกถุงกระดาษออกหลังจากกินเสร็จและนั่งอ่านข้อความทั้งหมดบนกระดาษแผ่นนั้น

ข้อความเหล่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกักขังอันธพาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ พร้อมรายละเอียดส่วนตัวของผู้เขียนอีก
เล็กน้อย ฉันจึงเข้าไปขอดูถุงกระดาษใบที่เหลืออยู่ของแม่ค้าขายกล้วยทอด แต่เมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของแม่ค้า ฉันจึงทำได้เพียงควักเงิน 70 บาทออกมาเหมาขนมที่เหลืออยู่ทั้งหมด จากนั้นก็เดินเข้าไปในวัดราชบพิธเพื่อหามุมเงียบๆ คลี่ถุงกระดาษออกอ่านหลังจากกินของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดแล้ว ฉันจัดเรียงหน้ากระดาษเหล่านั้นตามลำดับและแยกสองหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องทิ้งไป ทั้งหมดนี้ทำไปด้วยความอึดอัดที่นอกจากจะเกิดจากการได้อ่านสิ่งที่ไม่ควรได้อ่านแล้ว ยังเกิดจากท้องที่อัดแน่นไปด้วยกล้วยทอดพวกนั้นอีกด้วย

สิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ คือเรื่องเล่าไร้ชื่อบนหน้ากระดาษมันเยิ้ม ลงนามโดยข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับกลาง ผู้เรียกตนเองว่า “นาย ก.”


ถึงพี่น้องประชาชนที่รัก จาก นาย ก.

เมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว หัวหน้าของผมบอกให้ผมไปอ่าน รวมคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หนังสือที่กระทรวงมหาดไทยจัดทำขึ้นเมื่อ 35 ปีก่อน หัวหน้าต้องการให้ผมค้นดูว่ามีมาตรการใดบ้างในหนังสือเล่มนี้ที่จะสามารถนำมาใช้จัดการกับกลุ่มคนที่ก่อปัญหา ตอนที่หัวหน้าเดินถือหนังสือเล่มนี้มาผมสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จัดการกับปัญหาที่ว่า แต่เขาบอกว่าต้องใช้อะไรที่จะมารับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรงเท่า พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่ก็ยังก่อให้เกิดความวุ่นวาย เช่น กรณีที่มีคนมาปิดล้อมรัฐสภา หรือขัดขืนคำสั่งให้เลิกกีดขวางการจราจร หรือพิมพ์เผยแพร่เอกสารปลุกระดม เป็นต้น การกระทำเหล่านี้ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายเสียทีเดียว หรืออาจจะผิดกฎหมายแต่ก็เป็นไปได้ยากที่จะดำเนินคดี จึงควรมีการดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อมิให้เป็นการให้ท้ายคนเหล่านี้ หัวหน้าผมออกตัวว่าเขาไม่ได้เป็นทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลือง แต่ผมรู้ดีกว่านั้น จริงๆแล้วเขาเป็น “สลิ่ม” ที่เอียงไปทางเหลือง ทั้งนี้ ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ก็ไม่สำคัญ การเมืองไม่ได้มีผลหรืออย่างน้อยก็ไม่ควรจะมีผลต่อการทำงาน อย่างไรเสีย เมื่อได้รับคำสั่งให้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมจึงอ่าน

รวมคำสั่งของคณะปฏิรูปฯ เป็นคู่มือสำหรับการกักขังและฝึกอบรมผู้ที่ถูกถือว่าเป็น “ภัยต่อสังคม” ในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายในเล่มประกอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2519 คำแถลงนโยบายและคำสั่งคณะปฏิรูปฉบับต่างๆ ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ผมไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดี มันพูดถึงกระบวนการกักขังผู้ที่สร้างปัญหาหรือมีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหาแก่รัฐบาลไว้อย่างละเอียด ทั้งยังเป็นการกักขังโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาหรือขึ้นศาลด้วย จะนับว่าพวกพี่ๆในกระทรวงของผมเป็นอัจฉริยะได้ไหมนี่ ที่สามารถหากลเม็ดอันสง่างามในการเอาคนเข้าคุกโดยเลี่ยงศาล (ที่แม้มักจะมีความโน้มเอียงในการตัดสินเข้าข้างฝ่ายอัยการ แต่ก็ไม่เสมอไป) ขึ้นมาได้ หรือเป็นเพราะพวกเขาต้องทำงานกันอยู่ในยุคที่มืดมน (แล้วก็เลยพลอยส่งผลต่อความมืดมัวของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆเหล่านั้นไปด้วย) ?

เมื่ออ่าน รวมคำสั่งของคณะปฏิรูปฯ จบแล้ว ผมตัดสินใจที่จะหาข้อมูลเพิ่ม ผมค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตและถึงขั้นลงทุนไปค้นที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติและหอสมุดแห่งชาติในช่วงพักเที่ยง ผมเจอข้อมูลเยอะกว่าที่คาดไว้ ทั้งข้อมูลในยุคนั้น รวมทั้งข้อมูลในยุคก่อนหน้าและยุคหลังจากนั้นด้วย ผมเตรียมข้อมูลนำเสนอหัวหน้าไว้เต็มเหยียด พลางคิดว่าเขาต้องประทับใจกับการค้นคว้าของผมเป็นแน่ เผลอๆผมอาจจะมีโอกาสได้นำเสนอถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง และอาจถึงขนาดได้เลื่อนขั้นจาก ซี 6 เป็น ซี 7 ด้วย

แต่กลายเป็นว่าการนำเสนอของผมจบเห่ตั้งแต่ในขั้นของหัวหน้า เขาไม่สนใจมันเลย พอผมนำ เสนอไปได้ประมาณครึ่งทาง เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสายซึ่งเห็นได้ชัดว่าสำคัญกว่าผม และบอกให้ผมหยุดนำเสนอ จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องและไม่กลับมาอีกเลย ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าบางครั้งหัวหน้าจะไม่แยแสสิ่งที่ผมพูด แต่ถึงขั้นเดินออกจากห้องนี่นะ? ผมคับข้องใจมาก แต่ก็บอกกับตัวเองว่าสิ่งที่ค้นเจอมานั้นยังสำคัญ หากหัวหน้าผมไม่สนใจ กระทรวงไม่สนใจ ก็ต้องมีใครสักคนบ้างล่ะที่สนใจ ผมจะส่งข้อมูลนี้ไปให้หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืออาจจะแค่ทิ้งใบปลิว(ที่ถ่ายสำเนามาจากเครื่องถ่ายเอกสารในที่ทำงาน)ไว้ที่ป้ายรถเมล์ก็ได้

สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมค้นเจอมาและพยายามจะสื่อสารกับหัวหน้า แต่ก็จะต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เพราะขณะนี้ผมกำลังจะเขียนให้พี่น้องประชาชนทั่วไปอ่าน ไม่ใช่ให้คนที่เป็นผู้ปกครองและเป็นเจ้าคนนายคนอ่าน