ลาวนั่นแหลว ผู้ฮู้แนวพาขึ้นสวรรค์ | Él sí que sabía hacer el amor

ความเดิมตอนที่แล้ว: บก.คำลาว ท่งกุลาลุกไหม้ ยืนยันว่า “ภาษาบ้านเฮามันตงไปตงมาจั่งเซียะล่ะ” โดยยืนยันให้ใช้คำที่ว่ากันว่าหยาบอย่าง “สี้” ในสำนวนแปล แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ความตรงไปตรงมานี้จะถูกบรรณาธิการด่านถัดจากแบ๊งปล่อยผ่าน

คำเตือนสำหรับผู้ยังไม่ได้อ่าน: ข้อเขียนนี้อาจเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องสั้น “อนาเกลตโต โมรอนเนส” ของ ฆวาน รูลโฟ เกี่ยวกับผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาสาวก โปรดใช้ความระมัดระวังขณะอ่าน


คาเฟ่ “บลูเม้าเท่น” หลังม.ขอนแก่น
Blue Fountain Cafe
ฉันกับแบ๊ง (ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม บรรณาธิการคำลาว ท่งกุลาลุกไหม้)

Después ella me dijo, ya de madrugada:
    —Eres una calamidad, Lucas Lucatero. No eres nada cariñoso. ¿Sabes quién sí era amoroso con una?
    —¿Quién?
    —El Niño Anacleto. Él sí que sabía hacer el amor.

บรรทัดสุดท้าย แบ๊งเสนอคำว่า “ผู้สี้แซบสี้นัว” ใช้แทน “ท่านน่ะฮู้จักสี้ดีอีหลี” ที่เป็นสำนวนแปลของฉันแต่แรกจากภาษาสเปนว่า “Él sí que sabía hacer el amor”

ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ใช้วลีนี้ ที่มีคำว่า “แซบ” ซึ่งทั้งการสะกดและการใช้ผิดแปลกไปจากมาตรฐานสยามประเทศแต่ถูกต้องตามวิถีประชาชนผู้ใช้ภาษาลาวอีสาน แถมยังเป็นวลีที่แสบสันต์จนฉันรู้สึกแสบดากขึ้นมาเลย!

ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สะใจโว้ย


ออฟฟิศสำนักพิมพ์อ่าน
Read Publishing House
สามสาวพลังซ่าส์ (ไอดา ภาวดี พีระ – บรรณาธิการแปล ผู้กลั่นและกรองสำนวนแปล และผู้แปล ท่งกุลาลุกไหม้ ตามลำดับ)

“เอ้อ ไอ้คำว่าสี้แซบสี้นัวอะไรที่พีระภูมิใจน่ะ ป้าว่าคงต้องหาคำใหม่แล้วล่ะ” บก.ผู้ชิงความป้าโยนหินถามความรู้สึก
“ได้ๆ” ฉันรับๆ ไปก่อน เดี๋ยวค่อยแก้ทีหลัง

และแล้วฉันกับป้าก็ได้มานั่งอยู่หน้าจอ iMac รุ่นบุกเบิกของสำนักพิมพ์อ่าน ตรวจสำนวนแปลฉบับที่ฉันแก้อีกครั้งหลังแก้กับแบ๊ง  ซึ่งฉันจัดหน้าไว้เรียบร้อยแล้วบนโปรแกรม Adobe InDesign

Afterwards she said to me, when it was already dawn, “You’re a flop, Lucas Lucatero. You aren’t the least bit affectionate. Do you know who was really loving?”
“Who?”
“The Holy Child Anacleto. He knew how to make love.”

“ดูคำในฉบับภาษาอังกฤษนี่สิ มันมาเป็นชุดเลย affectionate เอย loving เอย แล้วมาจบที่ make love” ป้าบอก
“แบ๊งก็จะบอกว่า ‘ภาษาบ้านเฮามันตงไปตงมา’ อย่างนี้แหละ สี้ก็สี้ เซิงก็เซิง สะแตกก็สะแตก ไม่จำเป็นต้องหยาบ” ฉันตอบป้าด้วยความมั่นใจที่หยิบยืมมา
“แต่ชุดคำในภาษาอังกฤษมันเป็นคำแบบซ้อฟต์ๆ หมดเลยนะ มันไม่มีชุดคำอื่นเลยเหรอ”
คนอย่างฉันที่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาสื่อสารกับคน ก็ฟังป้าไม่เข้าใจ แทนที่จะถกต่อไปก็ตัดสินใจลุกเดินออกจากห้องด้านในมาที่ห้องใหญ่ของออฟฟิศ ซึ่งปอย-ภาวดีนั่งประจำอยู่

“คำว่าสี้หนิมันหยาบจริงๆ หลอปอย” ฉันถามผู้เชี่ยวชาญภาษาลาวอีสานประจำสำนักพิมพ์
ปอยยิ้มแหย “หยาบนะพีระ”
“ ‘ผู่สี่แสบสี่นั่ว’ ล่ะหยาบไหม”
“หยาาาบ” ปอยเน้นเสียง
“แบ๊งไม่เคยเห็นบอกว่ามันหยาบ” ถึงตอนนี้ป้าลุกเดินตามออกมาแล้ว “ก็จะบอก ‘ภาษาบ้านเฮามันตงไปตงมา’ จั่งซี้หละ” ฉันเลียนคำพูดพร้อมท่าทางของแบ๊ง
“วางที่แบ๊งพูดลงไปก่อน” ป้าสวน “ถ้ามันไม่มีคำที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ทำให้มันมีได้มะ”

ฉันเริ่มอ้างเรื่องระดับความหยาบที่คนนอกกับคนในมองไม่เท่ากันอีก ป้าเลยขัดจังหวะ

“มันไม่ใช่เรื่องสุภาพไม่สุภาพ หยาบไม่หยาบ คือชุดคำที่ตัวละครนี้ใช้อ่ะมันสื่อว่าขนาดมีอะไรกันแล้วก็ยังคิดว่าเขาเป็นพระกุมารผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย คือพี่รูลโฟแกเขียนให้ตัวคนเล่าเรื่องมันเล่าด้วยสายตาเย้ยหยันแม่ชีพวกนี้สุดๆน่ะ แต่ถ้าพีระบอกว่ามันไม่มีชุดคำอื่นแล้วจริงๆ ป้าก็ยอม”

ฉันเพิ่งเก๊ตประเด็นป้า “อ๋อ คือไม่ใช่เรื่องความหยาบ แต่เป็นเรื่องชุดคำ”
“ใช่ คือถ้าเราใช้สี้ๆ อะไรเนี่ยะ มันก็เหมือนกับว่า—”
“เหมือนว่าตัวละครมันรู้อยู่ว่าไอ้นี่มันเป็นคนลวงโลก แต่ทำเป็นซึนเดเระเฉยๆ”
“ช่าย”
“เข้าใจละๆ ตอนแรกพีก็ตีความอย่างนั้น ไม่ได้คิดแบบที่ป้าอ่าน” ฉันเห็นมุมใหม่ในตัวบท “แล้วเราจะใช้คำอะไรแทนดีล่ะ ‘เม้คเลิ้ฟ’ ‘ทำรัก’ ‘ร่วมรัก’ ‘ฮ่วมฮัก’ ไม่มีใช้เนาะปอย”
“ไม่เคยได้ยินนะ” ปอยยืนยัน

ตอนนี้เราสามคนนั่งเก้าอี้หันเข้าหากัน ลากเส้นเชื่อมได้เป็นสามเหลี่ยม ต่างคนต่างคิดไม่ออก

ฉันลุกไปเขี่ยหนังสือ ชั่วโมงก่อนพิธีสวนสนาม ของ ภู กระดาษ ลงจากชั้นหนังสือไม้สีดำราคาถูกอันเป็นที่วางผลงานพ็อคเก็ตบุ๊คของสำนักพิมพ์ หวังให้เป็นแสงส่องทาง เพราะเคยเปิดๆ ดูครั้งไหนก็เจอฉากคนจะเอากัน

ไม่ผิดหวังจริงๆ ด้วย เธอนัวเนียเลียดูดจนคุณแทบทนไม่ไหวแล้วจึงได้บอกกับเธอว่า เอากันเถอะ ทันทีสิ้นเสียงเธอถอนปากออก คุณจึงผละเข้าหาถุงพลาสติคที่ใส่ของกินของใช้ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ หยิบกล่องถุงยางอนามัยออกมาแกะ และจัดการฉีกและสวมใส่ เธอนอนถ่างอยู่แผ่หลารอคุณเข้าสวมสอด หายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ลิ้นก็ตวัดเลียริมฝีปากราวกับห่วงอาลัยรสอร่อยเหลือหลายไม่คลาย เสียงตามสายกระจายเสียงรายงานต่อจากเพลงปลุกใจสิ้นสุดลงว่าขณะนี้เอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ ทางยุโรปได้ทยอยกันเข้าพบท่านผู้นำประเทศกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแทรกชอนมาในจังหวะที่คุณคลานเข้าหาร่างของเธอ และเมื่อเล็งได้แม่นมั่น กดสวบ และเริ่มขยับโยก

เดี๋ยว ปิดหนังสือ เปิดหาหน้าใหม่

จากเชื่องช้าสู่เร่งรัดอัดบี้ อ้าวอุ่นอาบและดูดดึบตึบตอดจากเธอซ่านสะท้านทั้งร่าง และก็แต่ชั่วห้วงเวลาอันสั้นกุดแต่อาจยาวนานกว่าแสงอุกกาบาตไถลทำลายตัวเองกับผืนฟ้า สักเทียบเท่านักวิ่งระยะสองร้อยเมตรเหรียญทองโอลิมปิกทะยานผ่านเส้นชัย ฉันก็เกร็งกระตุกทั้งร่างเสียแล้ว

ยังไม่ใช่ ปิดหนังสือ เปิดหาหน้าใหม่

พระเอกวกคืนกลับมาท่าเบสิคอีกครั้งหนึ่ง เขาซอยถี่แบบไม่มีสะดุดต่อเนื่องกันยาวนานนับครั้งไม่ถ้วน ผมหวังว่าบัดดี้ของผมที่เป็นคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อยคงจะถึงสวรรค์ชั้นแถนฟ้าในไม่ช้านี้

“ขึ้นสวรรค์!” ฉันผู้บรรลุพุทธิปัญญาโพล่งออกมา
“เอ้อ ได้นะ!” ไอดาตื่นเต้นไปด้วย
“ ‘ผู้พาขึ้นสวรรค์’ เป็นไง” ฉันเสนอ หันไปทางภาวดี
“บ้านเราใช้อยู่ๆ ‘มันพากันขึ้นสวรรค์ไปแล้วหละ’ อย่างนี้ก็มีพูดนะ”
“ ‘พระกุมารอนาเกลตโตนั่นแหลว ผู้ฮู้จักพาขึ้นสวรรค์’ ”
“ได้นะพีระ” ภาวดีให้ผ่าน
“แล้วยังได้ทั้งสองเซ้นส์ด้วย โอ้ ดีๆๆ” ความคิดไอดาแล่นไปเร็วกว่าคำพูด “คำนี้แหละ”

เมื่อได้คำตบท้ายแล้ว คำที่เหลือก็เป็นเรื่องง่ายขนมกิน in comparison
สามสาวพลังซ่าส์ยังสนทนากันในสามเหลี่ยมเก้าอี้ จนได้คำ “ผู้ฮู้จักฮักฮู้จักหอม นี่แม่นใผ” มาแทน “อันเรื่องสี้เรื่องเซิง ผู้ใด๋คัก” เป็นคำ build up ขึ้นไปสู่ประโยคตบท้าย ที่สุดท้ายเปลี่ยนคำว่า “ผู้ฮู้จักพาขึ้นสวรรค์” ให้เป็น “ผู้ฮู้แนวพาขึ้นสวรรค์” เพื่อไม่ต้องใช้คำว่า “ฮู้จัก” ซ้ำหลายครั้งเกินไป แถมพลอยได้คำคล้องจองมาอีก

นอกจากจะรักษาความซ้อฟต์ (ที่ไม่ใช่ความสุภาพ) ของคำไว้ได้ เรายังได้เติมเต็มนัยยะของความเชื่อทางศาสนาที่แฝงอยู่ในตัวบทด้วยการแทนคำว่า “hacer el amor” หรือ “make love” ด้วยคำว่า “พาขึ้นสวรรค์” อันอุดมความหมายเสียยิ่งกว่าในภาษาต้นทาง

Sí se puede | นี่เด้ เฮาเฮ็ดได้ ◼