นิทานการเมือง เรื่อง “ช่วง ‘ระหว่าง’ การเปลี่ยนแปลง”

ผลงานผ่านการพิจารณาให้เผยแพร่ โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 3

ประเภทนิทานการเมือง หัวข้อ “การปฏิวัติที่ห่าม 2019 edition”

โดย ชุติเดช เมธีชุติกุล

 

ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความงงงวย ฉันยื่นมือไปเปิดผ้าม่านเพื่อดูว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาไหน แสงแดดสาดแสงใส่ฉันผ่านช่องว่างของหน้าต่าง ฉันยกมือขวาขึ้นป้องตาข้างขวาด้วยความจ้าของแสงที่ส่องมา หลังจากนั้นฉันก็ลุกออกจากเตียง และลงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างของบ้าน ก่อนเดินออกจากห้อง ฉันเดินเข้าไปที่ชั้นวางของที่มีกระจกแขวนอยู่ข้างๆ ชั้น ข้างๆ นั้นเป็นโต๊ะทำงานที่มีนาฬิกาเรือนสีดำตั้งอยู่ ฉันดูนาฬิกาด้วยสายตาเพ่งพินิจเข้าไปในเรือนของมัน เนื่องจากความงงงวยที่พึ่งตื่นมาทำให้สมองของฉันประมวลผลสิ่งที่เห็นช้าไปเล็กน้อย จนเห็นเข็มสั้นชี้ไปที่เลข 9 และเข็มยาวชี้ไปที่เลข 6 อย่างชัดเจน 9 โมงครึ่งแล้วสินะ หลังจากนั้นฉันก็มองตัวเองไปที่กระจกใช้มือลูบหน้าและผม และสั่นหน้าตัวเองเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องลงไปห้องน้ำชั้นล่าง ระหว่างทางเดินลงไปบันได ฉันก็คว้าเอาผ้าเช็ดตัวไปด้วย นี่เป็นกิจวัตรยามเช้าของฉันที่จะทำแบบนี้ทุกวัน ไม่ว่าจะตื่นเช้าหรือตื่นสาย พอตื่นขึ้นมาแล้วก็เตรียมพร้อมอาบน้ำแต่งตัว เตรียมดำเนินชีวิตประจำวันในแต่ละวันต่อไป

ทุกๆ วันฉันจะวางแผนชีวิตตัวเองในวันต่อไปเสมอ ว่าในหนึ่งวันนั้นฉันต้องทำอะไรบ้าง แต่งตัวแบบไหน กินอะไรสำหรับข้าวเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็น มีนัดกับใคร และต้องนั่งรถอย่างไร ขึ้นรถรางตรงไหน ใช้เวลาเท่าไร ฟังแล้วอาจจะแลดูซับซ้อน เหมือนฉันเป็นคนคิดเยอะ และคิดมากในทุกรายละเอียด แต่สำหรับฉันแล้วฉันคิดว่าไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ที่ฉันคิดแบบนี้อาจเพราะฉันทำจนชินไปแล้ว จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ฉันต้องคิด ฉันต้องทำ ในวันๆ หนึ่ง และวันต่อๆ ไป

วันนี้เป็นวันที่ฉันตื่นสายเพราะเมื่อคืนมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ ดื่มเหล้ากันอย่างเมามาย และฟังเพลงฝรั่งมันส์ๆ สนุกสนาน จีบสาว และคลอเคลียกับผู้หญิง ฉันจำได้ว่างานสังสรรค์เริ่มในเวลา 20.00 น. ฉันไปถึงก่อนเวลา 5 นาที ฉันหาเหล้ากิน และหาอะไรกินเพื่อรองท้องเล็กน้อย เพื่อนๆ ฉันเริ่มทยอยมาหลังจากนั้นอีก 10 นาที และเมื่อถึงเวลา 20.30 น. ทุกคนก็เต็มเหนี่ยวไปกับงานสังสรรค์ เราทุกคนต่างสนุกสนาน ออกลวดลายท่าเต้นตามสมัย หรือบางช่วงเวลาเมื่อวงดนตรีของร้านเปลี่ยนท่วงทำนองและแนวเพลงเราก็จะเปลี่ยนท่าเต้นตามไปด้วย บางคนเต้นด้วยการเต้นที่เต็มที่ของพวกเขา แม้จะเป็นคนหนุ่มคนสาวก็เป็นคนธรรมดาที่เหนื่อยเป็นเหมือนคนทั่วไปเมื่อทำอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลา 20 ถึง 30 นาที เราส่วนใหญ่นั่งลงบนโต๊ะของพวกเรา เพื่อนบางคนยังพอมีแรงมากกว่าคนอื่นก็ยังคงเต้นต่อไป บางคนเดินไปหาสาวๆ โต๊ะอื่น หรือพบปะคนที่รู้จักมักคุ้นก็จะเข้าไปหาเข้าไปทักทายตามประสาคนรู้จัก ฉันนั่งพักอยู่ที่โต๊ะด้วยความเหนื่อยหอมแต่ก็ยังยิ้มได้ ฉันพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งสนทนาถึงการงานและชีวิตที่ผ่านมา หลังจากจบการศึกษากันไป แล้วต่างคนต่างก็ไปทำงานตามที่ตนหวัง บางคนไปสืบทอดกิจการต่อจากที่บ้าน บางคนก็เดินทางไปทำงานที่ปักษ์ใต้ ขึ้นเหนือ หรือไปอีสานก็มี แต่ช่วงจังหวะเหมือนฟ้าลิขิตเราสามารถเขียนจดหมายนัดเจอกันได้ในวันนี้พอดี เราต่างสนุกสนานไปกับความเพลิดเพลินของเสียงดนตรี สุรา ผู้คน และบทสนทนา มันช่างเป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษเสมือนหนึ่งไม่ได้พบกันมามากกว่า 20 ปี

ฉันคิดว่าโต๊ะเราก็คุยกันเสียงดังแล้วนะ แต่ก็ยังไม่ดังเท่าอีกโต๊ะหนึ่งของร้าน ชายกลุ่มหนึ่งคุยกันอย่างสนุกสนาน และทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนอย่างที่เราทำกัน ที่แรกฉันก็ไม่ได้สนใจเสียงที่ดังกว่าโต๊ะของเรามากนัก แต่คำพูดของโต๊ะนั้นมากกว่าที่ทำให้ฉันสะดุดใจและถือวิสาสะตั้งใจฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่แสดงอาการเหมือนกับว่าฉันไม่ได้สนใจอะไรโต๊ะเขามากนัก คำพูดนั้นก็คือ

“ยึดอำนาจ ฆ่า และปล้นพวกมันให้หมดทุกอย่าง”

แต่กระนั้นฉันก็เห็นสีหน้าของพวกเขาที่หน้าแดง เคลิ้มๆ กรึ่มๆ และท่านั่งที่เหมือนกับนอนอยู่บนโซฟา ฉันก็พอรู้แล้วว่าพวกเขาพวกเขาเริ่มเมาจนได้ที่แล้ว แต่ก็นั้นแหละมีคนเคยบอกฉันว่าเมื่อคนเมาสติสัมปชัญญะจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ควบคุมความคิดความเห็นของตัวเองไม่ค่อยจะได้ ก็เลยมักจะพลั้งปากพูดสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆ ออกมาให้คนอื่นเขารู้ จากเรื่องที่เคยลับ ก็กลายเป็นกระบอกเสียงป่าวประกาศให้ผู้คนได้รู้โดยทั่วกัน จากที่เคยไม่กล้าพูดก็กลายเป็นพูดตรงๆ ด้วยอาการโซซัดโซเซ ไปๆ มาๆ หน้าของผู้เล่านั้นก็จะแลดูหน้าหวานและยิ้มแก้มปริ จากคนที่ยิ้มยากกลายเป็นคนที่ยิ้มง่ายในชั่วพริบตา

ฉันนั่งคิดใคร่ครวญกับคำพูดดังกล่าวไปอีกสักพักหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ยังดื่มเหล้า และคุยกับเพื่อนๆ ต่อไป ด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีใครรู้ว่าฉันกำลังคิดพินิจอย่างตริตรองว่า “คนกลุ่มนั้นจะยึดอำนาจอะไร ยึดอำนาจใคร ยึดแล้วฆ่าเลยหรอ และปล้นอีกต่างหาก ประเด็นสำคัญคือใครเป็นกลุ่มเป้าหมายของพวกเขากันแน่?” ในช่วงเวลานั้นสภาวการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสู้ดีนัก กระแสการปฏิวัติถูกพูดกันอย่างหนาหูจนเป็นข่าวลือไปทั่วเมืองหลวง ช่วงหนึ่งมีกระแสจะปฏิวัติในวันฉลองก่อตั้งเมืองหลวงบ้างแหละ หลังจากนั้นอีก 2 เดือนบ้างแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังจ้องที่จะปฏิวัติรัฐบาลในปัจจุบัน บางข่าวลือบอกว่ากลุ่มผู้ก่อการจะปฏิวัติเมื่อวาน แต่ข่าวลืออีกวันก็มีคนมาบอกว่ายังไม่ปฏิวัติ เพราะพวกตนยังไม่พร้อม รัฐบาลเองก็ไม่นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าว พยายามส่งสายสืบไปเป็นชาวนาบ้าง พ่อค้าบ้าง และขอให้ชาวบ้านบางท้องที่ช่วยเป็นสายให้หน่อย หากมีข้อมูลที่เห็นวี่แววของการปฏิวัติช่วยมาบอกทางการที เฝ้าระแวดระวังต่อความน่าสงสัยต่างๆ เหล่านั้นให้ด้วย แล้วมาบอกเบาะแสต่างๆ นั้นกับเรา จนผู้บัญชาการตำรวจสามารถปะติดปะต่อรวบรวมข้อมูลพอที่จะระบุตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่คิดจะก่อการได้แล้ว ท่านจึงได้ส่งเรื่องไปให้นายของตนที่มีอำนาจอนุมัติสั่งจับกุม แต่พอนายของท่านได้เห็นรายชื่อจึงใคร่สงสัยว่าคนพวกนี้จริงๆ หรือที่จะยึดอำนาจ เพราะนายของท่านรู้จักมักคุ้นกับกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่จบจากนอก ไฟแรง ขยันขันแข็ง และทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดียิ่ง เพราะนายของท่านได้ฟังมาจากเพื่อนและผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้มาอีกที และค่อนข้างเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่าเบาะแสที่ทางตำรวจได้มาจากหลายๆ แห่ง แล้วเก็บรวบรวมจนจนเชื่อมโยง และโยงใยจนพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยในที่สุด นายของผู้บัญชาการคนนั้นจึงบอกปัดที่จะอนุมัติให้จับกุมตัว แต่ให้เฝ้าดูกลุ่มคนพวกนี้ไปก่อน แม้ผู้บัญชาการจะแย้งไปหลายครั้งด้วยคำอธิบายเรื่องความปลอดภัยและเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบันที่ง่อนแง่นมานานตั้งแต่รัฐบาลก่อน

รัฐบาลปัจจุบันมีกลไกการทำงานพิเศษที่ผ่านการทำงานของคณะที่ปรึกษาอาวุโส 7 ท่าน ผู้นำรัฐบาลคนใหม่คิดว่ากลไกนี้จะช่วยรื้อฟื้นศรัทธาให้กลับมา กระนั้นก็ตามอาจจะเป็นโชคร้ายที่โชคชะตาไม่เป็นไปตามความมุ่งหวังของรัฐบาลนัก เมื่อทุกประเทศทั่วโลกต้องพบกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามจากทวีปหนึ่งไปยังทวีปหนึ่ง และส่งผลกันอย่างเป็นลูกโซ่ครอบคลุมไปทั่วโลก ทำให้แม้ผู้นำรัฐบาลจะพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของรัฐบาลตน และพยายามกู้คืนศรัทธาของผู้คนที่เริ่มปลีกตัวออกห่างตั้งแต่รัฐบาลก่อน แต่เหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้างพวกเขาสักเท่าไร วิกฤตดังกล่าวกลับมาโถมซัดความง่อนแง่นจนกู่ไม่กลับ แม้ว่าผู้นำรัฐบาลจะยังดำเนินการเรื่องต่างๆ ต่อมาอย่างมีความหวัง แต่ความหวังนั้นได้จางหายไปพร้อมกับพายุร้ายจากฝั่งตะวันตก เหลือแค่ว่าผลไม้ลูกนี้ที่เปรียบเสมือนรัฐบาลในปัจจุบันจะร่วงหล่นจากต้นเมื่อไร หรือใครจะมาสอยตกลงไปเสียก่อน ไม่มีใครรู้ได้

ตกดึกคืนนั้นฉันเดินกลับบ้านด้วยสภาพที่มึนๆ เล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นคุมสติไม่ได้เลย ฉันจำได้ว่าลมในคืนนั้นช่างดีเสียเหลือเกินเย็นสบายพอให้เดินทอดน่องได้อย่างสบายอารมณ์ และคิดใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจ พร้อมกับแสงไฟข้างทางที่พอมีให้ฉันได้เดินไปตามเส้นทางกลับบ้านได้สะดวก ฉันเลิกคิดเรื่องกลุ่มคนที่ตะโกนเรื่องยึดอำนาจในร้านเหล้าที่ผ่านมา และคิดต่อไปว่าพอถึงบ้านแล้วจะอาบน้ำเลย หรือจะหาหนังสือมาอ่านก่อนนอน หรือจะนั่งพักเปิดแผ่นเสียงสักแผ่นฟังเพลงคลาสสิกจากตะวันตก หรือเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีไทย แล้วพรุ่งนี้เช้าพอตื่นมาแล้วทำอะไรต่อ แล้วหลังจากนั้นจะไปทำอะไร จะไปทำงานที่สำนักงาน หรือขอเขาทำงานอยู่ที่บ้านสักวันหนึ่ง

เมื่อฉันเข้ามาในซอยของบ้านอีกสักไม่ถึงหนึ่งกิโลก็ถึงบ้านฉันแล้ว ทันใดนั้นเองในมุมมืดข้างใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในซอย มีศาลพระภูมิหลังเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ตรงนั้น เกิดหมอกจางๆ พวยพุ่งขึ้นมาจากศาลหลังนั้น แล้วในบันดลก็กลายสภาพเป็นร่างมนุษย์ที่สวมหมวกยอดแหลม ใส่เสื้อคลุมสีขาว และเท้าที่เปลือยเปล่า เขากระแอมไออยู่เล็กน้อย แล้วนั่งลงบนพื้นตรงหน้าศาล ชูมือขวาขึ้นแล้วกวักมือเรียกเหมือนให้ฉันเข้าไปหา แล้วเขาก็พูดออกมาว่า

“เธอนะ มานั่งตรงนี้สิ” เขากล่าว

ฉันก็ทำตามเขาไปอย่างว่านอนสอนง่าย นั่งลงกับพื้นแล้วพูดว่า “มีอะไรกับฉันหรอ ฉันกำลังเดินทางกลับบ้านพอดี หลงทาง หรือต้องการอะไรรึเปล่า”

“ฉันอยากเล่าเรื่องบางอย่างให้เธอฟัง สนใจไหม ช่วงหลายเดือนมานี้ ฉันเหงาปากมาก อยากให้มีใครสักคนมาฟังฉันเล่าเรื่องบางอย่างหน่อย”

“ไม่นานนะ สักเล็กน้อยก็ได้ บ้านฉันก็อยู่อีกไม่ไกลมาก มันคงไม่หนีฉันไปไหนหรอก ไอ้ฉันก็มีกุญแจอยู่ในมือแล้ว และบอกที่บ้านแล้วให้ล็อคประตูไปได้เลย วันนี้ฉันจะกลับดึก จะได้ไม่ต้องนั่งรอและนอนรอให้ง่วงหงาวหาวนอนให้ไม่สบายตัวอยู่ข้างล่าง จะได้ขึ้นไปนอนที่ห้องได้อย่างสบายใจ เชิญว่ามาได้เลย”

“อีก 4-5 วัน จะมีการยึดอำนาจรัฐบาล พวกนี้เตรียมการไว้หมดแล้ว ถ้าจำไม่ผิดประชุมกันมา 7 ครั้งแล้ว และมีเรื่องราวต่างๆ มากมายทำให้คนพวกนี้เริ่มคิดจะก่อการมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างตอกย้ำให้พวกเขาเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ อีกไม่นานเกินรอ”

“แล้วกลุ่มไหน หรือใครที่คิดยึดอำนาจ คงไม่ใช่พวกที่ตะโกนในร้านเหล้าที่ฉันเพิ่งไปดื่มมาหรอกนะ”

“ใช่ยิ่งกว่าใช่อีก แต่ก็เพราะปากพล่อยๆ ของคนกลุ่มนั้นนั้นแหละทำให้แผนที่พวกเขาวางไว้ต้องเลื่อนออกไปอีก เหมือนโชคชะตาก็แอบเล่นตลกให้สนุกเพลิดเพลินบันเทิงใจ ฉันเองก็ไม่แน่ใจใครควบคุมโชคชะตาฟ้าลิขิตตรงนี้อยู่ แต่ก็นั้นแหละพวกนั้นประเมินสถานการณ์ตลอด วางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม และคงคิดเผื่อไว้แล้วกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างนี้”

“แล้วจะเป็นยังไงต่อไป แน่ใจว่าจะยึดอำนาจแน่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า?”

“เชื่อฉันเหอะ ฉันเห็นความเป็นไปของประเทศนี้ชัดมาก ปัญหาแค่นี้ไม่เหนือความคาดหมายของพวกเขามากนักหรอก ที่สำคัญผู้ดูแลรัฐบาลตอนนี้ก็ออกจะชะล่าใจ และผู้ควบคุมกำลังผลคนสำคัญก็ดันไปตรวจงานที่ต่างเมือง และผู้นำรัฐบาลก็ไปตากอากาศพักผ่อนตามปกติที่ทำมาทุกปี เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้กับพวกเขาไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นกับว่าพวกเขาวางหมากไว้อย่างไร ในแต่ละครั้งที่เขาขยับเข้าใกล้จุดหมายของแผน ความไม่แน่นอนจะมีมากขึ้น และความแน่นอนสุดท้ายที่จะมีได้ก็คือเมื่อแผนสำเร็จเท่านั้น แต่การเดินพลาดแต่ละครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะล้มกระดานนั้นทั้งหมด ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่ตระหนักถึงแผนการทั้งหมดที่ฝ่ายเราได้วางแผนเอาไว้”

“ช่างน่าสนใจ และเพลิดเพลินดีจริง ชักอยากจะเห็นผลที่จะออกมาซะแล้ว”

“อีกไม่นานเกินรอดอก เธอก็ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติ คิดล่วงหน้าไว้ว่าชีวิตจะต้องทำอะไรต่อไปในหนึ่งวันบ้าง แล้วสถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายของมันเองไปในที่สุด แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่กำลังมาถึง ประเทศนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แล้วเส้นทางการเดินทางใหม่ก็จะเริ่มขึ้น ทางเส้นนี้จะทอดยาวไปไกลจนไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้จะไปจบลงที่ไหน ชีวิตคนอย่างพวกเธอจะเปลี่ยนไป แต่แล้วแต่พวกเธอจะตัดสินใจพาโชคชะตาของพวกเธอเองไปทางไหน ฉันเองอาจจะรู้ แต่ก็นั้นแหละ ทุกอย่างเป็นไปได้ตามแต่โชคชะตาด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งก็ตามแต่ที่เธอจะกำหนดหนทางตัวเองต่อไป ที่จริงมันก็ง่ายๆ ว่าถ้าทำอะไรก็จะได้ตามนั้นแหละ แต่การจะบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ฉันว่ามันสุดวิสัยของการจะใช้วิธีการนี้ไปบอกนะ เพราะดีหรือชั่วนั้นไม่มีมาตรวัดชัดเจนมาบอกได้ดอก พวกเธอมองว่าถูก พวกเจ้าหน้าที่ก็อาจบอกว่าไม่ถูก พวกช่างอาจจะบอกอีกแบบ พวกคณะผู้นำก็อาจบอกอีกแบบหนึ่งแหวกไปเลยก็ได้ ฉันว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกันดีๆ และหาทางที่จะยอมรับกับกติกาบางอย่างที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ เรื่องที่ฉันอยากจะเล่าให้เธอฟังก็มีแค่นี้แหละ”

“อืม ก็แล้วแต่ว่ากาลเวลาจะพาพวกฉันไปพบกับอะไร และพวกฉันจะต้องทำอย่างไรต่อไป ชีวิตแต่ละคนไม่แน่เสมอไป แต่ที่ได้นอนกันยาวๆ แน่ๆ เมื่อเวลาชีวิตของแต่ละคนได้บรรจบหมดไปตามอายุไข ฉันว่าก็สนุกดีนะที่เล่ามา ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้วละ ฉันคิดว่าคงต้องเดินกลับไปถึงบ้านจริงๆ เสียที ขอบใจมากที่มาช่วยฆ่าเวลาที่ฉันคิดว่าจะหาเพลงหรือหนังสือมาอ่านก่อนเข้านอน เมื่อฉันไปถึงบ้านฉันก็คงอาบน้ำและเข้านอนได้อย่างสบายใจอย่างเต็มที่จากเรื่องเล่าที่น่าสนใจนี้ ขอลา” แล้วฉันก็พยุงตัวขึ้นมายืน

“แล้วเจอกัน ขอบคุณที่ให้ฉันเล่าและได้คุยกับเธอสักเล็กหน่อย หวังว่าเรื่องเล่านี้จะสนุกและมีประโยชน์กับเธอนะ”

“มี อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาให้กับฉันได้ดีเลยนะ” ฉันก็เดินต่อไปตามเส้นทางซอยในหมู่บ้านที่เมื่อกี้ฉันหยุดฟังเรื่องเล่าจากใครคนหนึ่งที่หน้าศาลพระภูมิ เรื่องเล่าที่สนุกปนขมขื่นเล็กน้อย ฉันหันหลังไปดูที่ศาลพระภูมิเมื่อเดินไปได้สักประเดี๋ยวหนึ่ง เขาหายไปแล้ว แล้วฉันก็เดินต่อไปจนถึงบ้าน…

ฉันเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ แต่งตัวตามปกติอย่างที่เคย แล้วฉันก็หันไปดูที่นาฬิกา เข็มสั้นชี้เลข 10 แล้ว และเข็มยาวอยู่ที่เลข 12 ฉันเดินลงจากบ้าน กล่าวอำลาคนที่บ้านและเดินออกไปใช้ชีวิตตามที่คิดไว้แล้วเมื่อคืน

ในรุ่งเช้าของวันหนึ่งฉันเดินออกไปสำนักงานปกติ แต่ก็เห็นคนไปมุ่งบนท้องถนน มีรถที่เต็มไปด้วยทหารอยู่หลายคัน ในมือของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยกระดาษเป็นแผ่นๆ และได้โปรยลงมาตามท้องถนน ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นก็หยิบ และรับเอกสารพวกนั้นมาอ่านกัน ฉันอยากรู้จริงๆ ว่ากระดาษเขียนไว้อย่างไร และมันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ ตรงที่พวกทหารได้โปรยกระดาษไว้ ฉันก้มลงไปหยิบขึ้นมาอ่าน

“ประกาศคณะ_______ ฉบับที่ 1 …”

 

ชุติเดช เมธีชุติกุล เป็นนักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนหนึ่ง เขาสนใจหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าการหลักสูตรปริญญาที่เขาเรียนอย่างรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา วรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี และความรู้อื่นๆ หากเขาปรารถนาที่จะรู้