นิทานการเมือง เรื่อง “พฤษภกาสร”

ผลงานผ่านการพิจารณาให้เผยแพร่ โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 3

ประเภทนิทานการเมือง หัวข้อ “การปฏิวัติที่ห่าม 2019 edition”

โดย อัมรินทร์ นวลน้อย

 

ลมรำเพยแผ่วหวิวออดอ้อนดั่งหญิงสาวกำลังร่ายรำ ราชพฤกษ์ราดอกอ้อยอิ่งลู่ตามแรง ด้านหลังเหมือนใครมองมาย เมื่อหันมองกลับหล่อนหลบตา…

ปีนั้น ขบวนแตก แยกกอ ความเชื่อแต่ละฝ่ายส่ายสัมพันธ์ พรึบพรับ ลังเล แยบยล
ไม่รู้แจ้ง

“อำมาตย์ไม่ดี ประเทศสองมาตรฐาน คนจนถูกย่ำยีเหมือนหมาข้างถนน มันจะเยี่ยวรดอย่างไรก็ได้  เราต้องลุกสู้”

“มันหลอกคนจนให้หลงเชื่ออย่างเล่ห์กล เอาส่วนแบ่งตรงนั้นหาประโยชน์ใส่ตัว ต่อไป
คงขายทุกอย่างไม่เหลือซาก ประเทศจะลุกเป็นไฟกลับมาเผาพวกเราเอง”

ร่องรอยเดิม แว่วๆ ข้างหู

ปีนั้น นั่นเอง เราสองต่างแยกย้ายหายห่าง ในรอยแยกผมประสาน ข้อความถูกปล่อยออกไป

“เป็นกำลังใจเสมอ โชคดีในการสอบ”

“อย่าทำอย่างนี้ได้ไหมขอร้อง หากเป็นอย่างนี้ จะทำให้นู๋ลืมพี่ไม่ได้”

ก่อนจะเปลี่ยนเลขหมายห่างหายจากไกล

ลมพัดแผ่วดังแว่วรู้สึกเข้ามา

“มาส่งลูกเข้าชั้นอนุบาล”

หลังแยกทาง  ห่างหาย เธอมีลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ตามวิถี ดาวนั้น หมุนแสนไกล
อยู่ที่ไหนซักแห่ง

สี่สิบปีที่ผ่าน

ผมยืนตาหลุกหลิก ซ้ายที ขวาที ในบ้านไม้ริมคลอง

“เปลี่ยนชื่อก่อนเข้าโรงเรียนแหละดี เพื่อนจะได้ไม่ล้อ โชคดี อย่าเอาเลยคนแถวบ้าน
ชื่อนี้เป็นคอมมิวนิสต์ใหญ่แถวช่องช้างโน่น”

“แล้วจะให้ชื่อไหรละ” แม่เอ่ยถามพ่อขึ้นมา

“พี่ตั้งไว้แล้วห้าชื่อ”

ดวงจันทร์  อัมรินทร์  พิณพนา เจตศักดิ์ สันติ ถูกโฉลกกับเดือนปีเกิดของมัน”

“เอาชื่อไหรละ” แม่หันมาทางผม

“ดวงจันทร์ สวยดี”  ผมตอบ พร้อมนึกถึงค่ำคืนจันทร์นอกชานบ้านยามแสงระริกรี้
ยามนั้นผมนอนลง สอดมือประสาน ไขว่ห้าง มองมายจันทร์ผายร่วมกับครอบครัว เพลาค่ำหนึ่ง พ่อบอก ในเงาจันทร์ยายกำลังยกสากขึ้นตำข้าว ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ยินเสียงน้ำไหลคลอง

“เป็นผู้ชายชื่อ ดวงจันทร์ ได้พรือ” แม่ดึงผมเขาไปกอดพร้อมหัวเราะ

“เออ ดวงจันทร์ ไม่เอาก็แล้วกัน”

“แล้วจะให้ชื่อไหรละ”

“พิณพนา จะให้มันไปอยู่ป่าอีกหรือ สันติ เดี๋ยวก็ เรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่กล้าอะไรซักอย่าง”
แม่พูดแล้วหันมองพ่อ

“ก็เหลือ อัมรินทร์ กับ เจตศักดิ์”

“เอา อัมรินทร์ ก็แล้วกัน พระอินทร์ มีฤทธิ์ดี” พ่อพูดปิดท้าย

หากสังคมเราเลือกสิ่งต่างๆ ได้ง่ายดายเหมือนชื่อของผม ปัญหามากมายคงไม่ก่ายเกิด

จากนั้นผมก็ไปอำเภอ เปลี่ยนจาก โชคดี เป็น อัมรินทร์ จีเอ็มซีวิ่งกวักไก่วอยู่ตลอดระหว่างทางไป ทหารทาหน้าดำ กิ่งไม้บนหัวนั่งในรถ ขณะหมวกของแม่ระบายพลิ้วดอกชมพู บางครั้งก็นั่งเป็นกลุ่มๆ ระเบิดแขวนรอบตัว ถือปืนเหล็กยาวดำ รู้สึกหวาดกลัวอย่างไรก็ไม่รู้เมื่อเดินผ่าน

ผมไปสมัครเรียนด้วยชื่อ เด็กชายอัมรินทร์ หมายเลขประจำตัว 22/2520 วันแรก
ที่โรงเรียน ผู้คนมากมายเดินก่ายไปมา แต่ผมวังเวงหวิวหวั่น พยายามนั่งเบียดชิดแม่บนม้านั่ง
ใต้ราชพฤกษ์ให้มากที่สุด รู้สึกแม่อบอุ่น อ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอมขึ้นมา ราชพฤกษ์ลู่ลมทายทัก
เป็นระยะ ขณะจีเอ็มซียังคงไม่ราล้อ วิ่งผ่านด้วยเสียงทุ้มดัง

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร”

ครูใหญ่เดินถามนักเรียนใหม่

เมื่อมาถึงผม

“ทหารครับ”

หลังกลับบ้าน ผมบอกแม่ว่าอยากเป็นทหาร ยินตอบกลับมาว่าอย่าเป็นเลย แม่ไม่อยากเสียลูกชาย

ผ่านสองปี จึงรู้คำแม่  คืนนั้นแสงไฟสลัว คืนที่สายตาขุ่นมัวของแกหมองจันทร์
ในรอยแววทั้งมันผ่องแสงจ้า พระพุทธองค์คงนั่งอิ่มธรรมใต้ไม้ใหญ่ที่มีรูปทรงที่ไหนซักแห่ง
เมื่อสองพันห้าร้อยปีที่ผ่าน พี่ไข่ลูกป้าไล นอนทาบบนผืนดิน  ธงชาติ น้ำเงิน ขาว แดง คลุมกาย
ไม่อบอุ่นซักนิด ผมคิดในใจ

“เคยเห็นไหม หมูถูกจับยัดใส่รถมีกรงขัง วิ่งผ่าแดดร้อน  คงไม่ต่างกับเหล่าทหารนั้น
ที่นั่งบนจีเอ็มซี อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายเพื่อไปสู่ที่ไหนซักแห่ง หรือเพียงแค่พิสูจน์กฎเกณฑ์การเกิดดับ พ่อ แม่ชรา คงได้แต่นั่งมองทุ่งนาเหี่ยวร้างยามเย็นย่ำ หากพิการเมียยังอยู่หรือมีชู้พวกเขาถูกจับขังด้วยกรงของระบบแห่งการเคียดแค้น”

แว่วเหมือนเสียงแหบพร่าของหญิงชราดังลอยข้างรูหูอย่างรางเลือน

“ไอ้ไข่ก็ตายแล้ว มันทำเพื่อชาติหรือเพียงลูกชาวบ้านจนๆ เพียงเครื่องมือเหยื่อขัดแย้ง ทำไมจึงไม่จบสิ้น  ทั้งชีวิตของฉันเหมือนได้จบสิ้นแล้ว”

เสียงชาวบ้านป่าธรรมดา ป้าไล ดังขึ้นในโพล้เพล้หนึ่ง พร้อมเสียงเห่าหอนดังทอด
เป็นระยะยามค่ำคืนหน้าแล้ง น้ำแห้งคลอง กอจากพัดยอดไหวเบาอย่างน่ากลัวในรอยมืด

“ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง” ถามออกไปหลังอึดอัดอยู่นาน

“ก็ตามปกติ จนมาถึงวันนี้”

แต่ทำไมบางอย่างจึงไม่ปกติ…ผมหวนคิดถึงดาวดวงนั้นที่ยังเหลือร่องรอย คราบเจ็บช้ำ ของเธอหายสิ้นจากแววรู้ ไฟมอดดับ เหลือเพียงลูกที่มีความหวัง เลี้ยงเขาให้เติบใหญ่เป็นคนดี อย่าหลงผิดบ้าอำนาจ (ครั้งหนึ่งกับใครคนนั้นผมก็เคยคิดเช่นนี้) รู้สึกจิตใจตัวเองไหวหวิว
ชอบกลเหมือนวันแรกที่เข้าโรงเรียน

คุยกันไม่ถึงชั่วโมง แต่ความทรงจำช่างแออัดผุดพรายผายเรื่องราวเก่า ขณะนั้นเราสอง
ถกบางปัญหากันบ่อยครั้ง ผ่านหลายปี หากความสัมพันธ์ยังอยู่มันคงเป็นส่วนหนึ่ง
ในเนื้อชีวิตระหว่างเรา

“คุณไม่เคยยากจน ไม่รู้หรอก เงินขายข้าวติดลบค่าปุ๋ย ไม่ต้องหวังก้าวหน้าในชีวิต
เช้าตื่นไม่หวังก้าวเดิน คิดแต่วันนี้จะกินอะไร หาปลาที่ไหน ยอดผักในหนอง ไม่มีแม้เสื้อผ้าสวยๆให้ลูกเมียใส่ ไปในเมืองเพียงพลเมืองชั้นสอง งกๆ เงิ่นๆ ถูกมองด้วยสายตาหมิ่นแคลน ทั้งทำงานแทบตาย แต่ระบบรัฐ การประกันราคา พวกเขาทำอะไรกันอยู่ ทำไมราคารถ เหล้า สูงขึ้นตลอด พวกเราต้องลบล้างระบบนี้”

“มันหวังจะเอาส่วนแบ่งจากตรงนั้น จากการแสแสร้งช่วยเหลือคนจน”

คำพูดทั้งสองดังสลับไปมาอยู่ตลอด ร่องรอยเดิม ผมคิดพร้อมมองออกไปด้านนอก
จีเอ็มซีหยุดวิ่งนานแล้ว ร่างพี่ไข่หายไปในอากาศ เพียงเหยื่อของเรื่องราวหนึ่งแต่คำพูด
ของป้าไลยังคงดังก้องหู

“ทำไมไอ้สองตัวนั้นมันไม่ตายซักที ลูกชาวบ้านจะได้ไม่เป็นเครื่องมือให้พวกมันๆ
จะรู้สึกบ้างไหมที่ทำให้ต่างฝ่ายเข่นฆ่ากันมากมายเพียงนี้” พร้อมเสียงสะอื้นเล็กน้อยในลำคอ

ผมเพิ่งไปนอนเล่นใต้ถุนบ้านแก กอจากหัวท่าไหวยอดแผ่วเบาเมื่อต้องลมผ่าน กะไอปลิวเย็นฝั่ง น้ำพลิ้วลู่ลงเล ป้าไลกับลุงเขียวอยู่กันด้วยความเหงาเงียบ เก็บมะพร้าวท่ามกลาง
ไอแดดระอุ่น รอบข้างเหงาเงียบเปลี่ยวลึก ภาครัฐไม่เคยทำให้หนุ่มสาวหลงใหลในผืนถิ่น
มันมีกลิ่นสาบ ไม่หอมชื่นโรยเหมือนถิ่นเมืองหลวง ผมนอนบนเปล แกว่งไป-มาเบาๆ คล้ายเคลิ้มหลับ หญิงชาวบ้านเดินเข้ามาหอมชายน้ำ มะพร้าวน้ำหอมลอยดอกม่วงยื่นส่งตรงหน้า
เมียของพี่ไข่ ในพะวงนึก

ผวาตื่น ย้อนนึกกลับเมื่อหลายปีผ่าน บรรยากาศอวลกลิ่นหอมลอย ช่างน่าลิ้มลอง
ร่วมทาง น้ำไหล กอจากพลิ้วสวยจันทร์เมื่อเราร่วมกันเฝ้ามองลอดใบผ่าน บางอย่างอยู่ไม่ไกล
แม่ พ่อ ที่งกๆ เงิ่นๆ มีลูกสะใภ้ หลานๆ เคียงข้าง แต่นี่เพียงลำพังสอง ว่าที่ลูกสะใภ้หายไปตามวิถีของหญิงสาว เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งต้องเดียวดายต่อเนื่องมากว่าสามสิบปีแล้ว

หลังพี่ไข่ตายจากไม่นาน จากคำสั่งอะไรทับอะไรซักอย่าง แต่คงจะไม่ใช่ 22/2520
เพราะเป็นเพียงเลขที่/ปี พ.ศ.ที่เด็กคนหนึ่งเข้าโรงเรียนตามระบบ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคำสั่งนั้น
เมื่อผมเข้าไปในเมือง ภาพทหารนั่งตามรายทาง ข่าวรถทัวร์วิ่งผ่านจังหวัดบ้านเกิดยามค่ำคืนต้องมีทหารนำทางเลือนหายไป บางคนบอกว่าภาครัฐมาถูกทาง บ้างว่าค่ายคอมมิวนิสต์ใหญ่
ไม่มีเงินสนับสนุน เมืองเจริญขึ้นอย่างมีอนาคต ไม่มีวี่แววบางอย่างจะกลับคืน

จวบพฤษภาหนึ่งในปีสามห้า *พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมาย
ในกายมี นรชาติ…วางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา สิ่งที่พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มา กลับมลายหายสิ้น กลิ่นเขียวเข้ามาแทนที่อีกครั้ง รถจีเอ็มซี ไม่ได้วิ่งเข้าป่า
เหมือนครั้งผมนั่งเบียดชิดแม่ใต้ราชพฤกษ์ แต่กลับย้อนเข้าเมืองบุกยึดสิ่งต่างๆ  ทั้งที่ไม่เห็นอีกฝ่ายมีปืนเหมือนเมื่อหลายปีผ่านขณะผมนั่งรถสองแถวสายต่างอำเภอที่บ้านเกิด

ขณะนั้นรถวิ่งขลุกขลักๆ บนถนนฝุ่นสีแดง ผ่านเมืองไปได้ซักพักก็จอดรอ
หันซ้ายแลขวาไม่เห็นคนขึ้น เสียงปืนลั่น คอมมิวนิสต์ฝั่งเขายิงกับทหารพื้นราบ น้าชาย
กอดผมไว้แน่นท่ามกลางหัวใจที่เต้นตูมตามระหว่างเรา มันวาบอุ่นๆ พิกล  ก่อนสิ้นเสียงปืน คอมมิวนิสต์ล่าถอย รถวิ่งตะลุยฝุ่นต่อไป ก่อนรถเคลื่อนคนขับถามว่าใครจะลงตรงนี้บ้าง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทุกคนเงียบกริบ อย่างน้อยผ่านเลยไปข้างหน้าก็ยังดี เราหวังว่าจะเจอสิ่งที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ ไม่ใช่อยู่ตรงจุดนี้

น่าแปลก ครั้งนี้ทหารสู้กับคนที่ไม่ได้ถือปืน แต่กลับพ่ายแพ้ยับเยิน ระบบหนึ่งประกาศตัวบนความเข้มขลังของมัน ประเทศเจริญเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  แต่ชาวนาไร่ยังไม่มีโอกาสส่งเสียงเช่นเดิม ช่วงห่างการจัดสรรกลับยิ่งถ่างออก กี่ปีผ่าน พรรคแล้ว พรรคเล่า จุดหนึ่งพวกเขาพูดถึงคนยากไร้  ชาวนาไร่จะต้องดีขึ้น แต่ทำไมจึงยังคงห่าง ความเร้นแค้นจำเพาะเฉพาะบางกลุ่ม
หรืออาจเหมือนชีวิตใครคนหนึ่งที่เลือกทางเดินผิดเพียงครั้ง ทำให้ต้องเสเพลไปจนกระทบฝั่ง

จวบวันหนึ่ง วันที่ชายขอบเมืองชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตไปตามครรลอง แต่บางอย่างฉายฉานทั่วถิ่นที่ เกิดการพลิกแผ่นดินขึ้นทั่วประเทศ สิ่งจับความไม่ได้เข้ามาคาบเกี่ยว มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อสองพันปีที่ผ่าน สิ่งที่ทำให้คนลังเลจับความได้ไม่ชัด จันทร์เพ็ญลอยเด่นอยู่เหนือยอดแต่ไม่กล้าคว้าจับ นั่นเป็นเหตุผลบนรอยเยิ้มของศรัทธา ยังเข่นฆ่ากันได้มากมายถึงเพียงนั้น

คืนนั้นจันทร์ผ่อง ผมเดินไปสนามหลวง

“เอาชื่อดวงจันทร์ เพราะดี”

เสียงแหลมเล็กเมื่อหลายปีผ่านดังก้องเข้ามา

มองไปผู้คนมืดฟ้ามัวดิน กราดตาไปทั่ว เธอยืนอยู่ที่นั่น คืนนั้นจันทร์แรงสาดแสงจน
สีเสื้อเหลืองผ่องไปหมด สวยดี แต่เมื่อมองชัดกลับกลายเป็นคนใส่เสื้อสีเหลืองมารวมตัวกัน
ในคืนเพ็ญ ทุกคนมาฟังปรากฏการณ์การเริ่มต้นบางอย่าง เขา…นักการเมืองคนนั้นพลิกดิน
จนทำให้เกิดการไม่แน่ใจ คล้ายจุดเริ่มต้นการกำเนิดศรัทธาหนึ่ง

ครานั้น เมื่อภิกษุที่พระพุทธองค์บวชให้ด้วยตนเอง ได้ฟังโอวาทปาฏิโมกข์ยามเพ็ญ
เดือนสาม ต่างเดินกลับอาบแสงจันทร์ที่ส่องสาดด้วยอาบอิ่ม แมลงกลางคืนร้องหงิ่มบางเบา คล้ายทายทักไม่รู้จบ แต่คืนนั้นผมกับเธอ เดินกลับออกมาด้วยหัวใจที่ถลอกปอกเปิกกับ
ความขุ่นแค้นคั่กๆ ต่อนักการเมืองคนนั้น เสียงรถกลางคืนวิ่งสวนไปมาบาดแก้วหูจนเหลือคลาย มันคงทำให้ประเทศเหลือแต่ก้าง ฝ่ายหนึ่งชี้นำให้คิดเช่นนั้น พร้อมวาบคิดที่รถจีเอ็มซีวิ่งผ่านอดีตจากอุดมการณ์ไม่ตรงกันก็แวบเข้ามา

“มีปฏิวัติหรือ”

เพื่อนที่บ้านเกิดโทรถามขณะเข้าเวรในเมืองหลวง ผมงัวเงียออกไปเปิดโทรทัศน์ เห็นรถจีเอ็มซีวิ่งพล่านไปมา ภาพตัวเองนั่งเบียดชิดแม่ใต้ราชพฤกษ์ขยับใกล้เข้ามาอีกครั้ง ป้าไล
แม่พี่ไข่งกๆ เงิ่นๆ เก็บมะพร้าวท่ามกลางลำน้ำพลิ้วปลิวเข้ามาในรู้สึกโหยหวน

“ทำไมเราไม่เชื่อสิ่งที่เกิด  กลับเชื่อสิ่งที่ยังไม่ก่อเกิด ประเทศต้องล่มจม เหลือแต่ก้าง
ผ่านมาเท่าไหร่ ประชาชน คนนาไร่  ขายผลผลิตได้ถูกกว่าราคาปุ๋ย ข้าวเหนียวจิ้มปลาร้า
ตัวหนึ่งดูดกันทั้งครอบครัว เป็นคนชั้นต่ำของประเทศ ถูกดูถูก ดูแคลน ทำไมพวกเราไม่ลุกขึ้นสู้”

เป็นน้ำเสียงเจืออุ่นของพิณพนา ที่เอ่ยขึ้นมาในคืนจันทร์ผ่อง มันเลยเส้นน้ำที่กำลัง
ไหลลง ป้าไลนอนไปนานแล้ว หากพี่ไข่ยังอยู่คงได้นั่งมองจันทร์เลยขอบน้ำร่วมกัน มันสวยดี

จากนั้นไม่นานอีกสีหนึ่งก็เริ่มเข้ามา มันเป็นความไม่แน่ใจ ความเชื่อยังคงคลางแคลง
ผมเห็นเหมือนประกายเลือดทาทาบไปทั่วผืนดิน กลิ่นคาวคละคลุ้ง บางม่านความคิดระหว่าง
ผมกับเธอเริ่มไม่เจือรอย บางเชื่อผมเข้าใกล้น้ำคำพิณพนา พี่น้องของผมล้วนชาวนาไร่

“ชาวนา ชาวไร่ ยังยากจนเหมือนเดิม กลุ่มอำมาตย์สุขสบาย นายทุน ผู้มีอำนาจยังคง
ยึดครอง วันหนึ่งแรงพุ่งสังคมจะต้องทะลัก”

พิณพนาคนนั้น เขาคือคอมมิวนิสต์นั่นเอง ผมหลับตากลับยิ่งเห็นประกายเลือดแตกชัดอยู่ในนั้น

ไม่นานเจตศักดิ์ ก็โผล่ออกมา

“ไม่ว่าจะอย่างไร ประวัติศาสตร์ชาติไหน เพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่คุมประเทศ
ให้เคลื่อนไป หากคนกลุ่มใหญ่ ยากจนเข้ามา จะเละเทะ วุ่นวาย แย่งชิงไม่รู้สิ้น ไม่มี
หลักยึด ลอยไป ลอยมา ที่สุดก็ลอยหาย”

ร่องรอยเดิม วอกแวกเข้ามาอีกครั้ง พร้อมภาพป้าไลงกๆ เงิ่นๆ ดึงอารมณ์ผมให้ดำดิ่งลงไปผสมปนเปกับเรื่องราวเก่าอย่างซ้ำซาก นึกถึงภาพคนแก่บ้านนอกที่ไปประท้วงหน้าอำเภอ
เวลาหนึ่ง

“มันจะเอาอะไรกันนักกันหนา ได้แล้วไม่รู้จักพอ จะหากินกับศพไม่ต้องทำอะไร
หรืออย่างไร”

เสียงบ่นเปรยๆ จากบนอำเภอแว่วมาให้ได้ยิน

“ฉันเพียงไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นมาอีก คนไม่เคยเสียลูกชายไม่รู้หรอก มันปวดร้าว
แค่ไหน”

หยดน้ำที่รื้นขอบตา แกใช้มืออันเหี่ยวย่นป้ายมันทิ้ง ในหยดน้ำนั้นผมเห็นเหมือนตัวเอง
ในวัยเด็กเดินกลับบ้านอย่างอ้อยอิงท่ามกลางสายลมร้อน หลังถูกหัวโจกในกลุ่มไล่ตะเพิด

คนแก่บ้านนอกห้าสิบคนพร้อมรอยหม่นในแววตาเดินจากไปเงียบๆ อย่างงกๆ เงิ่นๆ ไม่มีตัวแทนการต่อสู้ที่จัดสรรอย่างเป็นระบบเพื่อประโยชน์ใดหนึ่ง ไม่สู้จนประเทศเสียหายย่อยยับ
พวกแกเพียงต้องการทำตามเสียงเรียกร้องของความเจ็บปวดจากด้านในที่แว่วดัง  ขณะที่ผม
เคลิ้มเห็นผู้นำทั้งสองฝ่ายนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนอันอ่อนนุ่ม

หญิงสาวของพี่ไข่หายไปนานแล้ว  แกยังคงหลับอยู่ที่นั่นหรือเดินไปสู่หนทางใด รู้ได้เฉพาะตัว ใครคนหนึ่งนั่งใต้ไม้ใหญ่ในคืนจันทร์ผ่องบอกไว้อย่างนั้น แต่เหตุการณ์การเกิดดับ
ของเรื่องราวหนึ่งยังคงกรุ่นๆ ในช่วงหลายปีผ่าน เหมือนกับเด็กน้อยที่ยังคงไหวหวั่น นั่งเบียดชิดแม่ของเขาเมื่อสายลมพราว ใบไม้โยก หัวใจเริ่มหนาวอ่อน

เหตุการณ์ที่ก่อตัวมานานหลายปี ความโลภ โมหะ โทสะ ของผู้มีอำนาจ
ทั้งสองต่างไหลหลั่งขึ้นท่วมท้นสนองสิ่งตัวเองต้องการ มันอัดแน่นขยายใหญ่จนไม่มีรูระบาย
อัศวินม้าขาวตายไปหมดแล้วในช่วงนั้น ดวงของประเทศตกต่ำ อาจารย์จากเทือกเขาอะไร
ซักอย่างกล่าวบอก

วันหนึ่งรูปแบบการล่มสลายของเมืองก็ปรากฏแจ้งชัด เมื่อสองกลุ่มตะลุมบอน
กลางเมืองหลวง เจ้าหน้าที่ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว ระบบทุกอย่างบิดเบี้ยว ต่างสะสมกำลังสมทบเพิ่มทวี แตกออกเป็นสองฝั่งคล้ายบางประเทศ  พี่น้องทะเลาะกับเรื่องราวนั้น ขณะแม่ของพวกเขา
นั่งก้มหน้าร้องไห้สะอึกอื้น ต่อสู้กันเนิ่นนาน ประเทศเสียหายลุกลาม ระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ
ทุกหย่อมหญ้าคล้ายประเทศทะเลทราย ร้อนระอุดั่งดินแล้ง ลมไม่พัดนาข้าวไสวเหมือนวันวาร
ในน้ำปลาฉลามว่ายวนคอยเหยื่อผู้พลัดหลง ในนานกเหยี่ยวปีกใหญ่ร่อนถลาโฉบ ประเทศอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ไม่เหลือเค้ารอย เหมือนนายแบบหนุ่มหล่อผู้มีพร้อมทุกอย่างกลับมางอมแงมติดยาเสพติด

เมื่อสุกงอมเต็มที่เพื่อนบ้านก็เข้ามา ฝั่งอีสาน ตะวันออก ถูกกลืนด้วยวัฒนธรรม
ดึกดำบรรพ์ เด็กเล็ก คนชรา หญิงสาว ถูกทำลายย่อยยับ หล่อนระโหยโรยแรงอยู่ตรงนั้น บ้างก็เอาตัวรอดอย่างเจ็บปวด หนุ่มใหญ่ถูกฆ่าตาย ศพแขวนห้อยตามคาคบอย่างศพไร้ญาติ เพื่อนบ้านจากฝั่งใต้รุกขึ้นมาถึงใจกลางประเทศ มหาอำนาจที่อ้างตัวเป็นตำรวจโลกเข้ามาหยิบฉวยประโยชน์อย่างทำทีเห็นใจ เหมือนเราเป็นเจ้าของบ้านยืนมองคนนอกขนของออกไปด้วยความรู้สึกล่องลอย แม่กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน พ่อแสดงท่าทางฮึดฮัดอย่างหมดทางสู้ บางส่วนแตกกระจายเซ่นสายเหมือนสายน้ำหนีไปตามป่าเขา ไม่มีฐานของประเทศคล้ายอดีตของชาติหนึ่ง

ผมคล้ายเห็นใบหน้ากว้างใหญ่อาบอุ่น มองลงมาอย่างห่มคลุมทั่วทั้งผืนดิน นึกถึง
ลุงเขียวที่ประคองป้าไลเดินไปช้าๆ ในวันที่แกอ่อนแรงเต็มที ได้ยินคล้ายเสียงลมหายใจ
ของพระพุทธองค์ ท่านยังคงหายใจเข้า-ออกปกติ แต่ลมหายใจของบางคนเหมือนจะขาดห้วง
ลดบทบาทกลับลงสู่ผืนดินเดิม ความฮึกเหิมหายไปเหลือเพียงความเรียบง่ายกระจายจ่าง
ทั่วแผ่นพื้น เด็กวิ่งเล่นว่าว ทุ่งนาไสว รอยน้ำพลิ้วเบา ก่อนจะผลิเขียวสดอ่อน ผมมองไปทั่ว
ลานกว้างคล้ายมีความหวังขึ้นมาว่าซักวันหนึ่งมันจะต้องเติบใหญ่ ผ่านคืนวัน ลมฝน
ซ้อนเรื่องราวให้ศึกษาเปิดอ่านเป็นประสบการณ์ให้ปรับปรุง

“ใครจะลงตรงนี้บ้าง”

ดังแว่วหูเข้ามา พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างน้อยผ่านเลยไปข้างหน้าก็ยังดี เราหวังว่า
จะเจอสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่อยู่ตรงจุดนี้

ผมเดินเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง สัมผัสรอบของตัวเองเปล่งชัดประกาย ริ้วรอยพราวเส้น
ไหวหวาน หล่อนแต่งชุดริ้วแดงสดใสร่าเริงกว่าวันวารที่ผ่านวัย อารมณ์ระริกระรี้สดผสมในเรือนร่าง นั่งเคียงคู่กับชายหนึ่งแต่งชุดเขียวช่างแข็งแรงมีบุคลิก

“ลูกชาย”

หล่อนแนะนำพร้อมส่งตาหวาน มองไปที่หนุ่มคนนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแทนหล่อนเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ แวบนึกถึงพี่ไข่และยิ้มขึ้นมาแทนป้าไล มองลงไป พื้นหญ้ายังคงแต้มน้ำค้างผลิเขียว
สดอ่อน ลมรำเพยแผ่วหวิวออดอ้อนดั่งหญิงสาวกำลังร่ายรำ หล่อนพลิ้วมากขึ้นเสื้อย้วยไป-มา
ไหวหวามเปิดเนินเนื้อ แสดงท่วงท่าปกปิดอย่างไม่เต็มท่าทีสายตาเยิ้มหวาน โอบกอดลูกที่นั่งเบียดชิดอย่างนุ่มนวล ก่อนราชพฤกษ์ย้วยเหลืองสดปลั่งจะพลิ้วกระจายลงมาอยู่เนิ่นนาน…

ผมรู้สึกเหมือนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยหัวใจที่อิ่มหาในวัยยี่สิบสองหลังเรียนจบมหาลัย
ด้วยความสดชื่น หวังอะไรซักอย่างที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะยิ้มออกมา และรู้สึกว่าชื่อ สันติ
ช่างไพเราะเสียเหลือเกิน

*พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา (พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส)

 

อัมรินทร์ นวลน้อย ใช้ชื่อ – นามสกุลจริงในงานเขียน ภูมิลำเนาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงเรื่องสั้นผ่านเกิดของนิตยสารช่อการะเกดเมื่อปี พ.ศ.2552 ในเรื่องทัชมาฮาล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสันติภาพของชายแดนใต้ และได้ลงเรื่องในนิตยสารต่างๆ มาตลอดปีละ 1-2 เรื่อง ปีนี้ได้ลง 2 เรื่องแล้ว