นิทานการเมือง เรื่อง ” ‘การปฏิวัติที่สุกงอม’ ระลอกนั้น”

รางวัลชนะเลิศ โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 3

ประเภทนิทานการเมือง หัวข้อ “การปฏิวัติที่ห่าม 2019 edition”

โดย ศิริจินดา ทองจินดา

กุลิศ อินทุศักดิ์ ช่างโชคดี!

ช่างโชคดีในสายตาของฉัน – ทารกที่เกิดไม่ทันแม้กระทั่งโศกนาฏกรรมเดือนตุลา ชีวิตไม่มีแผลสักนิดให้ระลึกเตือนเพื่อเจ็บปวด, ไม่มีน้ำล้างปลาอันก่ำไปด้วยเลือดปลาสักหยดราดรดลงบนชีวิตนั่นแหละ, ฉันและทารกฝูงหนึ่งที่เพิ่งเกิดมาหมาดๆ เพียงแค่คล้อยหลังเดือดดาลแห่งเดือนตุลา ทารกเกิดใหม่ฝูงนั้นจะไปรู้อะไร ต่อให้เติบใหญ่เลยวัยไร้เดียงสาขึ้นมาสู่วัยกลางคน, แก่กันจนปาอายุเข้าไปที่สามสิบกว่าสี่สิบกว่าโน่นแล้ว, แต่ทารกทั้งฝูงก็เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นได้แค่ – เด็กไม่รู้จักโตหรือลูกแหง่แห่งชาติเท่านั้น หาใช่ประชาชนในความหมายที่กุลิศ อินทุศักดิ์ต้องการไม่, เด็กไม่มีบาดแผล ไฉนเลยจะข้ามพ้นเยาว์วัยไร้เดียงสาที่จมแน่นอยู่ในปลักโสโครกแล้วเติบโตขึ้นมาเป็นประชาชนได้เล่า

กุลิศ อินทุศักดิ์ รู้หรือไม่?

จู่ๆ วันหนึ่งฝูงควายเคี้ยวเอื้องก็ลุกเชื่องออกมาจากปลักโสโครกแล้วแหกปากกรีดร้องไปทั่วพระนคร คราหนึ่งถึงกับปิดสนามบิน อีกคราหนึ่งฮึกเหิมถึงขั้นลั่นดาลปิดประตูพระนครกันเลยทีเดียว เพียงเพื่อที่จะล้มเลือกตั้งแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ควายฝูงนั้นทั้งฝูงไม่อยากให้ควายฝูงอื่นได้เลือก เพราะควายฝูงนั้นทั้งฝูงได้เลือกทุกอย่างไว้ให้ควายทุกฝูงในประเทศนี้แล้ว

เรื่องก็มีแค่นี้

ก็แค่ควายเคี้ยวเอื้องฝูงหนึ่งหวงแหนปลักโสโครกของตัวเอง จนไม่อยากเปลี่ยนแปลง จนไม่อยากแบ่งปันปลักโสโครกนั้นให้กับควายฝูงไหนอีกเลย ไม่แม้กระทั่งอยากให้มีปลักโสโครกอื่นขึ้นมาแทนที่ปลักโสโครกของฝูงตน ไม่แม้กระทั่งอยากเห็นใครเลิกเป็นควาย, ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งตัวเอง

เรื่องก็มีแค่นี้

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน? ฝูงควายไม่ได้รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรอกหรือ?” กุลิศ อินทุศักดิ์ถาม

เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าการปฏิวัติที่ห่ามหมายถึงการปฏิวัติที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และการปฏิวัติแบบนั้นย่อมไม่มีวันสำเร็จ เช่นนั้นแล้ว การปฏิวัติในสองครั้งหลังสุด เมื่อเดือนกันยายน 2549 และเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนหนึ่งก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติที่สุกงอมได้ เพราะประชาชนต่างออกมาร่วมเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลนายทุนปีศาจกันอย่างอุ่นหนาฝา “คลั่ง” แต่ก็อย่างที่บอก ลูกแหง่ – ควายเคี้ยวเอื้องฝูงนั้นจะกลายมาเป็นกุหลาบซึ่งออกดอกสีแดงสดแล้วพูดถึงประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน น้ำล้างปลาสักหยดก็ไม่เคยสัมผัส ชีวิตแบบนั้นเป็นได้อย่างมากก็แค่ดอกทานตะวันที่บานกร่างใหญ่คับบ้านคับเมือง การปฏิวัติสองครั้งนั่นจึงเป็นการปฏิวัติเพื่อไล่ที่นายทุนปีศาจเจ้าใหม่ โดยบัญชาการจากนายทุนปีศาจเจ้าเก่า…ก็เท่านั้นเอง

กุลิศ อินทุศักดิ์, ประชาชนถูกทำให้ไม่เป็นประชาชน แต่ถูกเสี้ยมให้แตกออกเป็น “คนดี” และ “คนไม่ดี”, เป็น “คนดี” ก็คือการเป็นลูกแหง่ของชาติบ้านเมือง รักนั่นห่วงนี่ หวงแหนและปกป้องทุกอย่าง ยกเว้นชีวิตและสิทธิในการเลือกของประชาชนด้วยกันเอง นั่นคงเป็นเพราะพวกเขาโตมาจากการดื่มเลือดอันเจ็บปวดของวีรชนคนตุลาและคนอื่นๆ ที่ตายฟรีในประเทศนี้จนเคยชิน, ทั้งความตายอันไร้ค่าและการดื่มด่ำความไร้ค่าที่ตายตกลงต่อหน้าต่อตาอย่างเย็นชา ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละที่พวกเขาชินชาจนเคยตัว

กุลิศ อินทุศักดิ์ ความตายอันโหดเหี้ยมกลางพระนครเมื่อเดือนพฤษาคม 2553 หรือจริงๆ แล้วก็ทุกความตายอันไร้ค่าในประเทศนี้อย่างไรล่ะ ที่บอกว่าฝูงควายไม่ได้มีแค่ฝูงเดียว ประชาชนผู้เฉื่อยชาไม่ได้อยู่เคียงข้างกันและกัน แต่ถูกเสี้ยมให้อยู่ตรงข้ามกันและกันตลอดมา

“ไม่มีฝูงควายเคี้ยวเอื้องที่วันหนึ่งตื่นรู้ลุกออกจากปลักโสโครกแล้วปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนไปสู่ระบอบของประชาชนสมบูรณ์เหรอ? ฉันหมายถึงระบอบประชาธิปไตยในการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมน่ะ” กุลิศ อินทุศักดิ์ถาม น้ำเสียงของเขาจนมุมมิดอยู่ในมึนงงตีบตันนั่น เกิดอะไรขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนจากทศวรรษ 2490 จวบจนกระทั่งถึง “การปฏิวัติที่สุกงอม” สองครั้งล่าสุดนั่น

มีสิ ทำไมจะไม่มี ตราบเท่าที่ประเทศนี้ยังมีน้ำล้างปลาอันก่ำไปด้วยเลือดปลาเต็มไปหมด ก็ย่อมต้องมีกุหลาบสีแดงสด สะพรั่งบานหลบๆ ซ่อนๆ เติบโตเต็มไปหมดทั่วประเทศเช่นเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละนะ กุหลาบสีแดงสดจะเป็นกุหลาบสีแดงสดไม่ได้เลย ถ้าวันๆ เอาแต่นอนเคี้ยวเอื้องจมปลักโสโครกอยู่อย่างนั้น แต่ก็อีกนั่นแหละ พลันที่กุหลาบสีแดงสดปรากฏตัวโผล่พ้นปลักโสโครกนั้นออกมา นั่นก็เท่ากับประกาศก้องยอมรับถึงการเป็นกุหลาบแดงของตัวเอง และพลันเดียวกันนั้นเองที่ความตายของกุหลาบแดงก็จะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน น่าเศร้าใจอะไรเช่นนี้, กุลิศ อินทุศักดิ์ วินาทีแห่งการผุดเกิดกับวินาทีแห่งการดับสูญนั้นต่างกลืนกินซึ่งกันและกันเป็นหนึ่งเดียว แล้วทุกอย่างก็จมหายกลับคืนสู่สภาพเดิม สงบราบคาบราวกับไม่เคยมีวินาทีแห่งความเป็นและความตายพวยพุ่งขึ้นมายื้อแย่งลมหายใจของกันและกัน

“สภาพเดิมคืออะไร?” กุลิศ อินทุศักดิ์ถาม ในใจรู้ดีว่า “สภาพเดิม” ของเราคงไม่เหมือนกัน

สภาพเดิมก็คือบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยดอกทานตะวัน ไม่ว่าในชีวิตจริงของใครของมัน ดอกไม้จะหลากสีแค่ไหนก็ตาม แต่ในความเป็นครอบครัวเดียวกัน ดอกไม้ทุกดอกคือดอกทานตะวัน และกุหลาบสีแดงสดคือดอกไม้ต้องห้าม คือปีศาจที่ต้องถูกไล่ล่าอย่างไม่ยอมให้ได้ผุดได้เกิดในแผ่นดินนี้ได้เลย

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เกิดอะไรขึ้นในหมู่ประชาชน”

เกิดความรัก ความสามัคคี และความเป็นครอบครัวเดียวกันที่เหนียวแน่นขึ้นทุกขณะ ทุกขณะ ความเป็นครอบครัวเดียวกันมันทั้งบีบอัดและจับจ้องการเติบโตของเราประชาชน แล้วมันก็ทั้งเสี้ยมทั้งสั่งทั้งสอนเราให้บีบอัดและจับจ้องกันและกัน บ้านมีหลังเดียว, กุลิศ อินทุศักดิ์ ถ้าไม่เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็คงร่วมชายคาเดียวกันไม่ได้ คงร่วมโลกกันลำบาก

“ไม่มีใครกล้าแตกฝูงออกมาเลยเหรอ?” กุลิศ อินทุศักดิ์ถามย้ำ น้ำเสียงซ่อนพลังนักสู้ไว้ไม่มิด

ความจริงคือมี มีคนกล้าแตกฝูงจินตนาการครอบครัวออกมา แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า สงครามในนามของความรักความผูกพันต่อครอบครัว ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อครอบครัวย่อมคือปีศาจไปโดยปริยาย และโดยปริยาย…การต่อสู้ในฐานะปีศาจก็คือการต่อสู้ในฐานะที่เสียเปรียบตั้งแต่ต้น อย่างน้อยต้นทุนทางศีลธรรมของปีศาจก็ไม่เคยเท่าเทียมกับศีลธรรมอันสูงส่งของลูกแหง่ เกมส์จึงถูกออกแบบมาให้ปีศาจถูกไล่ล่าโดยลูกแหง่ ปีศาจคือผู้ถูกไล่ล่าในบ้านของตัวเอง เกมส์แบบนี้สู้ไปก็มีแต่แพ้มากกว่าชนะ

“ประชาชนสู้กันเอง และแพ้กันเองในเกมส์แบบนี้? และผู้ชนะก็คือคนกลุ่มเดิมที่ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราประชาชนใช่มั้ย?”

ตอนนี้อาจจะใช่แบบนั้น, เราแพ้, เราประชาชนถูกปลุกให้สู้กันเอง และพ่ายแพ้ต่อกันเอง แต่มันจะไม่ใช่อย่างนี้เสมอไปหรอกนะ อย่าลืมสิ, กุลิศ อินทุศักดิ์ เธอเป็นคนพูดเองว่าผลดีย่อมไม่เกิดได้จากบ่อเกิดที่ดี ดอกไม้งามย่อมเกิดจากปุ๋ยดีก็จริง แต่ปุ๋ยดีนั้นคือของโสโครกนั่นเอง เหตุการณ์อันร้ายกาจอาจเกิดขึ้นเพื่อให้เป็นผลดีแก่บ้านเมืองในอนาคต

“แต่ครอบครัวคือสิ่งดี ครอบครัวไม่ใช่สิ่งโสโครก การไม่ศิโรราบต่อครอบครัวต่างหากที่เลวร้าย การต่อสู้กับครอบครัวก็รังแต่จะกลายเป็นปีศาจกันมากขึ้นเท่านั้น เธอพูดเอง อย่างนี้แล้วใครกันจะอยากลุกขึ้นมาเพื่อสร้างระบอบประชาชน ในเมื่อประชาชนถูกควบรวมเข้าไปในอาณาจักรของครอบครัวหมดแล้วเช่นนี้ ไม่มีประชาชนแล้ว มีแต่เด็กไร้เดียงสาที่รักบ้านรักครอบครัวแทบขาดใจ อย่างนี้แล้ว…ใครกันจะอยากถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจ แล้วถ้าทุกคนอบอุ่นปลอดภัยถ้วนหน้ากันดีแล้วในบ้านของครอบครัว พวกเขาจะอยากลุกขึ้นมาเป็นปีศาจไปเพื่ออะไรกัน คงไม่มีแล้วสินะการปฏิวัติของประชาชน”

เดี๋ยวก่อนสิ, กุลิศ อินทุศักดิ์ ก็ถ้ากุหลาบสีแดงสดเกิดมาได้จากสิ่งโสโครก นั่นก็เท่ากับว่าสิ่งโสโครกไม่ได้สร้างสิ่งเลวร้ายให้กับประเทศนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็น่าคิดนะว่าสิ่งเลวร้ายในประเทศนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากอะไรกันแน่? ลองคิดในมุมกลับกันสิ ถ้าเช่นนั้นก็คงมีแต่คุณงามความดีและคนดีของครอบครัวเท่านั้นกระมังที่จะสร้างสิ่งเลวร้ายให้กับประเทศได้อย่างไม่เป็นที่สงสัยจับจ้องถึงพิรุธร้ายของมัน อย่าลืมสิ แท้จริงแล้วครอบครัวคือตรรกะแห่งสงครามนะ สงครามเกิดขึ้นได้ดีที่สุดในครอบครัว ถ้าเราไม่เลือกครอบครัว เรานั่นแหละจะกลายเป็นคนอื่น ถ้าเราไม่อยากกลายเป็นคนอื่น เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลอมละลายตัวตนและจิตวิญญาณของเราให้กับครอบครัว แต่ก็อย่างที่เธอพูด ถ้าทุกคนอบอุ่นปลอดภัยถ้วนหน้ากันดีแล้วในบ้านของครอบครัว ใครกันจะอยากลุกขึ้นมาเป็นปีศาจให้คนประณาม!

กุลิศ อินทุศักดิ์ ตรรกะแห่งสงครามบรรจุเต็มอยู่ในความรักของครอบครัว และความรักนั่นขู่เราหนักขนาดนี้ รู้สึกไหม? ถึงหนักอึ้งและจริงจังของคำขู่นั่น รอยร้าวอยู่ในนั้นนะ อยู่ในคำขู่ของครอบครัว ความเกลียดชังก็อยู่ในนั้นด้วย อยู่ในความรักของครอบครัว ไม่มีอะไรทำให้ฝูงควายเคี้ยวเอื้องลุกขึ้นมาจงเกลียดจงชังกันเองได้อย่างกระฉับกระเฉงแบบนี้หรอก…นอกจากความรักของครอบครัว มีแต่ความรักเท่านั้นที่รังสรรค์ความจงเกลียดจงชังได้อย่างไร้รอยต่อ และมีแต่ความรักเท่านั้นที่บันดาลความตายแบบไร้ความรับผิดชอบให้กับชีวิตของฝูงควายอย่างพวกเรา ต่อให้เราไม่อยากเชื่อง เราก็ต้องเชื่อง, กุลิศ อินทุศักดิ์ ต่อให้เราไม่อยากฆ่าใครตาย แต่ก็ต้องมีคนตายเพราะเรา เพราะเราหลายคนเลือกแล้วว่าจะปกป้องความรักของเราที่มีต่อครอบครัว ซึ่งดูกตัญญูกว่า แทนที่จะเลือกปกป้องชีวิตฝูงควายด้วยกันเอง ซึ่งอาจทำให้เราโดนข้อหาอกตัญญูต่อครอบครัวไปแบบที่ฟังขึ้นสำหรับทุกคน เห็นไหม เราถูกบังคับให้เลือกข้างไปแล้วตั้งแต่ต้น ไม่มีหรอกการเมืองแตกออกเป็นสองขั้วหรือโพลาไลซ์เซชั่นอะไรนั่น ตราบเท่าที่ศีลธรรมแห่งการเลือกของทั้งสองฝั่งไม่เคยเท่ากัน การเลือกย่อมไม่เคยดำรงอยู่จริง แต่สิ่งที่ดำรงอยู่นั่น ที่เห็นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั่นก็เป็นเพียงดอกผลจากการตราหน้าคนเห็นต่างเท่านั้นเอง ที่เราอยู่ๆ กันมาตอนนี้มันเป็นการเมืองแบบบังคับเลือกข้างเบ็ดเสร็จแล้วต่างหาก ใครกันจะอยากถูกตราหน้าว่าเป็นกุหลาบแดง ถ้านั่นหมายถึงการต้องยอมรับจุดจบทางศีลธรรมของตัวเอง และอาจถึงขั้นต้องยอมรับจุดจบของชีวิตตัวเองด้วย เห็นหรือยังล่ะว่าการคิดต่างหรือการเป็นดอกไม้อื่นในครอบครัวแบบนี้มันไม่ใช่ทางเลือก แต่มันเป็นจุดจบของการถูกนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันของผู้ทรยศต่างหากล่ะ

กุลิศ อินทุศักดิ์ ในนามของความดีและความกตัญญูรู้คุณครอบครัว เราต่างถูกเสี้ยมสอนให้โตมาเพื่อฆ่ากันเอง แต่ยิ่งเราฆ่ากันเองมากเท่าไหร่ น้ำล้างปลาที่ก่ำไปด้วยเลือดปลาก็ยิ่งเข้มข้นและล้นท่วมประเทศมากเท่านั้น ยิ่งการปฏิวัติที่สุกงอมถูกทำให้กลายเป็นการปฏิวัติเพื่อพวกปฏิกิริยามากเท่าไหร่ การปฏิวัติของประชาชนเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาชนโดยแท้จริงก็ยิ่งงวดใกล้ความจริงมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งเดียวที่จะทำให้ความจริงใกล้เข้ามาได้จริงๆ นั่นก็คือการเลิกนับญาติกันแบบนี้เสียที, ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยเป็นญาติบ้านเดียวกันนะ เธอก็รู้ดีนี่ เธอถึงได้กล้าฝันในสิ่งซึ่งทารกรุ่นหลังเดือนตุลาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาได้แบบนั้น – สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งสยามอะไรของเธอน่ะ, บ้าแน่ๆ ถ้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาในยุคสมัยของครอบครัวเดียวกันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

โชคดีนะ เวลาเดินมาจนใกล้จะหมดแล้ว, เราใช้การโหนญาติเพื่อประหัตประหารชีวิตกันเองมานักต่อนักแล้ว เราใช้การติดหนี้บุญคุณและการทวงบุญคุณเพื่อปิดปากกันและกันมามากพอแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่จินตนาการฟุ้งซ่านว่าบ้านเมืองคือครอบครัวเดียวกันจะอวสานไปเสียที เลิกคิดว่าจะทำให้เราประชาชนทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นลูกแหง่ไร้เดียงสา เลิกใช้ความรักเป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรมระหว่างกันเองเสียที ตอนนี้เจ็บช้ำทางประวัติศาสตร์พวกนั้นก็กองระเกะระกะอยู่ในทรงจำหลบๆ ซ่อนๆ ของคนนั้นที คนนี้ที ความตายไร้ค่าที่กองสุมจนท่วมประวัติศาสตร์บาดแผลนั่น บัดนี้ก็สูงจนท่วมมิดชีวิตของเรา…รุ่นแล้วรุ่นเล่า

กุลิศ อินทุศักดิ์ ระบอบประชาธิปไตย, จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้เริ่มมองจากการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมก็เป็นได้นะ เราอาจต้องเริ่มต้นรู้ทันความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกค้ำยันมาจาก “ดีงาม” ของครอบครัวลักษณะนี้ก่อน ครอบครัวที่ไม่เคยให้เราเลือก ครอบครัวที่ไม่เคยเคารพการเลือกของเรา ครอบครัวที่ซ่อนความไม่เท่าเทียมกันของผู้คนไว้ในชนชั้นพ่อแม่ลูก, ผู้ใหญ่กับเด็ก, ผ่านการผูกขาดเพศสภาพแบบชายและหญิงเท่านั้น พ้นไปจากสองเพศสภาพผูกขาดนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้เป็นคนอย่างจริงจังเลย

“เธอคือใคร?” กุลิศ อินทุศักดิ์ ยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มสนทนากันมา และลืมไปเสียสนิทใจเลยว่าคู่สนทนาของตนนั้นคือคนแปลกหน้า

ฉันคือพยาบาลอาสา

“ผู้ชายเป็นพยาบาล!”

ฉันไม่ใช่ผู้ชาย และงานพยาบาลก็ไม่ได้สงวนไว้เพื่อผู้หญิงเท่านั้น เหมือนหัวหน้าครอบครัวและผู้นำทางการเมืองที่ก็ไม่ควรสงวนไว้เพื่อเพศสภาพใดเพศสภาพหนึ่งอย่างที่ผูกขาดกันมา หยุดเอาความไม่เท่าเทียมไปซ่อนไว้ในเรื่องเพศภายใต้ท้องเรื่องของครอบครัวเดียวกันได้แล้ว, มันตลกร้ายสักแค่ไหนที่คนซึ่งยึดอำนาจของเราประชาชนไป สุดท้ายกลับมานั่งนับญาติกับเราหน้าตาเฉย ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่เคยมีสร้อยห้อยท้ายหรือคำนำหน้านะ นั่นนิทานหลอกเด็กไม่รู้จักโตแล้วล่ะ ประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดจากประชาชน และมีแต่ประชาชน

“เรื่องเพศภายใต้ระบบครอบครัวเดี่ยวมันผูกขาดการเมืองของประเทศเราไว้แบบไม่มีใครคิดตั้งคำถามกับมัน, มันลอยตัวอยู่นอกการเมือง – มันบอก, และเราเชื่อ, เราถึงไม่มีประชาชนนับเนื่องแต่นั้นมา แต่มีพลเมืองเด็กไม่รู้จักโตเต็มไปหมด นี่ใช่มั้ย ที่เธออยากบอก” นัยน์ตาของกุลิศ อินทุศักดิ์ยิ้มรับนัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำตอบชัดถ้อยชัดคำของคู่สนทนา

“เธอมาที่นี่ได้อย่างไร เธอเด็กเกินกว่าที่จะมาอยู่ที่นี่ตอนนี้นะ?”

อย่างที่ฉันบอกเธอไปอย่างไรล่ะ พลันที่กุหลาบสีแดงสดลุกขึ้นมาจากปลักโสโครกเพื่อประกาศก้องถึงความเป็นกุหลาบในตัวมัน พลันเดียวกันนั้นเองที่ความตายจะถูกหยิบยื่นให้แก่กุหลาบดอกนั้น, โดยพร้อมเพรียง, เกิดและดับ, เป็นและตาย, จะกอดเกี่ยวกลืนกินลมหายใจกันและกันก่อนวูบสลายหายไปกับผืนฟ้าไร้ดวงจันทร์ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ของดาวร้ายและดาวเลวที่เรืองรัศมีเป็นกงจักร์จับจ้องฝูงควายเคี้ยวเอื้องทั้งฝูง, ไม่ละสายตาแห่งการเฝ้าระวัง, ระวังไม่ให้ควายกลายเป็นกุหลาบ

“เธอคือกุหลาบแดงดอกนั้น!” กุลิศ อินทุศักดิ์ ไม่ได้ถาม หากแต่เจ็บปวด นัยน์ตาซ่อนเศร้าเจ็บปวดไว้ไม่มิดเมื่อรู้ว่ากำลังสนทนากับความตาย ความตายที่ไม่สมควรตาย ความตายที่หากยังไม่ตาย เขาจะคือประชาชนผู้กระตือรือร้น ประชาชนในความหมายที่กุลิศ อินทุศักดิ์วาดหวังและเฝ้ารอ

ตอนนี้ฉันไม่ใช่ดอกกุหลาบแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันคือน้ำล้างปลาที่ก่ำไปด้วยเลือดปลาที่กำลังขมีขมันราดรดลงบนชีวิตเย็นชาของควายทั้งฝูงที่นอนจมอยู่ในปลักโสโครก เพื่อปลุกตื่นดอกไม้หลากสีในใจของควายทุกฝูง

กุลิศ อินทุศักดิ์, การปฏิวัติที่สุกงอมนั้น จะตรงหรือไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมันอย่างไรก็ตามที แต่ก็เป็นน้ำล้างปลาหยดหนึ่งเหมือนกัน!

อา! ดูท้องฟ้าตอนนี้สิ สว่างไสวไปด้วยพระอาทิตย์ดวงใหญ่ พระอาทิตย์ดวงใหญ่นั่นคือเราประชาชนที่กำลังทยอยปลุกตื่นกันเอง และหันสายตาจ้องกลับไปยังดาวร้ายและดาวเลวทั้งหลายที่เรืองรัศมีเป็นกงจักร์ครอบครองผืนฟ้าแต่เพียงกลุ่มเดียวมาอย่างยาวนาน

ฟ้าสว่างขึ้นทุกวัน, กุลิศ อินทุศักดิ์

 

ศิริจินดา ทองจินดา กอดความฝันถึงการเป็นนักเขียนมาทั้งชีวิต ในขณะที่ความจริงของชีวิตนั้น ยังชีพรอดมาได้ด้วยการเป็นนักเรียนมากกว่าเป็นนักอื่นๆ