แล้วเราจะรักกันได้อย่างไร

บทนำ – นางเอก never dies

ฉันไม่ได้อยู่เมืองไทยมาแปดปีแล้ว มันนานพอที่จะทำให้ฉันลืมไปแล้วว่ารถติดในกรุงเทพฯ มันป่าเถื่อนขนาดไหน ไม่ใช่ว่าที่ลอนดอนจะไม่มีรถติดนะ แต่ติดแบบยึดเอาถนนเป็นที่จอดรถตากแดดนี่มันอาชญากรรมชัดๆ เพราะฉันกำลังจะถูกฆาตกรรมจากกลิ่นเบาะหนังเทียมที่ถูกแดดเผาผสมกับกลิ่นดอกมะลิเหม็นๆ จากพวงมาลัยที่โชเฟอร์แขวนไว้ตรงกระจกส่องหลัง

ถ้าฉันนีกรู้สักนิดว่าวันนี้มันเป็นวันที่นายสุเทพประกาศดาวกระจายเดินเท้า 13 เส้นทาง ฉันคงไม่ต้องมานั่งผะอืด
ผะอมหน้ามืดตาลายอยู่ในห้องโดยสารเหม็นๆ อย่างนี้หรอก ให้ตายเหอะ ทำไมต้องแขวนดอกมะลิ น่าจะมีใครสักคนบรรจุกลิ่นมะลิบ่มแดดไว้เป็นมลพิษทางอากาศลำดับต้นๆ นะ

รถติดฉิบผาย รถติดเหี้ยๆ (ฉันขอโทษที่ต้องหยาบคาย เพราะสภาพที่ฉันกำลังกลั้นทรมานทำให้สมองเค้นออกมาแต่คำด่าล้วนๆ) ผีผลักแท้ๆ ให้ฉันอุตริเลือกออกมาทำธุระวันนี้ แถมยังเลือกที่จะนั่งรถผ่าถนนราชดำเนิน ที่เป็นจุดตั้งเวทีใหญ่ของม็อบมวลมหาประชาชนเขาอีก ฉันมองถนนสลับกับมองคนขับแท็กซี่อย่างชั่งใจ ในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ และขอแท็กซี่ลงตรงแยกเสาชิงช้า โดยเขาไม่จำเป็นต้องจอดชิดไหล่ทางเลยแม้แต่น้อย ทีแรกเขาชักสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจโดยไม่ปิดบังที่ฉันพาเขามาติดแหง็กอยู่ตรงนี้ แต่แล้วเขาก็ยอมปล่อยฉันลงโดยไว เมื่อฉันพูดกับเขาอย่างสุภาพว่า “หนูจะอ้วกแล้วค่ะ…”

ก้าวแรกแห่งอิสรภาพ ฉันต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อให้มีชีวิตรอดและมองหาน้ำดื่มเย็นๆสักขวด ฉันเคยอ่านบทความเรื่อง “เอาชีวิตให้รอดในป่าดงดิบ” ฉันสาบานว่า ถ้ากลับถึงลอนดอนเมื่อไหร่ ฉันจะต้องหาทางเขียนบทความเรื่อง “เอาชีวิตให้รอดในกรุงเทพมหานคร” ดูบ้าง (ถ้าฉันไม่ขี้เกียจไปซะก่อนนะ)

ถึงแม้น้ำเย็นๆ และอากาศที่ถ่ายเทจะช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ฉันก็ไม่สามารถยัดตัวกลับเข้าไปในรถที่จอดนิ่งสนิทได้อีกแล้วล่ะ ฉันจึงเดินระริมฟุตบาทไปเรื่อยๆ หวังใจว่าจะเจอร้านกาแฟเปิดแอร์เย็นฉ่ำและมี wifi ให้ฉันเล่นเน็ทฆ่าเวลา รอให้การจราจรพอจะเคลื่อนตัวได้บ้าง ค่อยเรียกแท็กซี่กลับคอนโด

ฉันลากขาหนักๆ ผ่านศาลาว่าการฯ มุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน หูเริ่มได้ยินเสียงเพลงที่ฉันไม่รู้จักผ่านทางลำโพงเครื่องขยายเสียงที่ดังมาแต่ไกล รอบๆ ตัวฉันมีผู้คนหลายกลุ่มเดินเร่งฝีเท้าแซงหน้าฉันขึ้นไปเป็นระยะๆ จุดมุ่งหมายคงไม่แคล้วเวทีม็อบของนายสุเทพตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และดูเผินๆ เหมือนกับว่าฉันเองก็กำลังมุ่งหน้าเข้าไปในม็อบด้วยเช่นกัน (ฉันเนี่ยะนะไปม็อบ?)

ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากทางด้านหลัง ทีแรกฉันคาดเดาว่าจะหันไปเจอกับแฟนคลับที่ยังจำกันได้กวักมือให้ไปเซลฟี่ (คนไทยจะบ้าเซลฟี่ไปถึงไหน) แต่ไม่ใช่….

“ลินาๆ…เซลีน่าๆๆ ทางนี้ๆ” อันที่จริงลินาเดียวฉันก็หันแล้ว (ฉันหูดีจะตาย) แต่เซลีน่ารัวๆนี่กระตุ้นให้ฉันสอดตาไปตามเสียงเรียกเร็วขึ้น เจ้าของเสียงไม่ใช่แฟนคลับ ทว่าเป็นพี่เมนนี่กระเทยผู้จัดละครชื่อดังที่คุณๆ ไม่มีทางรู้ว่าชื่อดั้งเดิมของพี่เขาที่พ่อ-แม่ตั้งให้คือแมน! แต่พอย่างเท้าเข้าวงการบันเทิงเท่านั้น ทะ…แด๊น ทันใดนั้นพี่เขาก็กลายเป็นพี่ “เมนนี่” ค่ะคุณผู้ชมคะ

ฉันโบกมือให้เขารับรู้ว่าฉันเห็นเขาแล้ว ไม่ต้องวี้ดว้ายให้เป็นจุดสนใจจนเกินงาม ฉันยังไม่มั่นใจว่าในสถานการณ์นี้ฉันอยากที่จะเป็นจุดเด่น ฉันส่งยิ้มแบบที่เป็นเอกลักษณ์อันเลื่องชื่อของฉันมานานปีให้พี่เมนนี่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน พี่เมนนี่ยกยิ้มตอบกลับมาชนิดกว้างขวางราวกับอมไม้แขวนเสื้อเข้าไปทั้งอัน นกหวีดสายธงชาติที่เปล่งประกายอยู่บนคอของพี่เมนนี่ช่วยแสดงจุดยืนทางการเมืองของพี่เขาอย่างเปิดเผย (นี่สิคนมาม็อบตัวจริง) ฉันรอให้รถมอเตอร์ไซค์ขับพ้นหน้าฉันไปก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ก้าวขาเรียวสวยข้ามถนนไปหาพี่เมนนี่ที่ปักหลักยืนรออยู่กับที่ แล้วพอใกล้จะสัมผัสตัวพี่เขาได้ ฉันก็พนมมือไหว้จรดอก ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติปลูกฝังของคนวงการบันเทิงไทย ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า “ความอ่อนน้อม” จากการไหว้ ชนิดที่ต้องไหว้ดะยันเด็กจัดไฟ แล้วจะไปทำตัวเหวี่ยงวีนเอาเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีใครติดใจอะไร (ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณคือซุปตาร์ คงมีแต่นางเอกเก่าความดังระดับปานกลางอย่างฉันและบรรดาตัวประกอบทั้งหลาย ที่จะไม่ได้รับสิทธิ์นั้น)

“สวัสดีค่ะพี่เมนนี่”
“กลับมาเมื่อไหร่ลินา….” พี่เมนนี่ถาม
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ” ฉันตอบเรียบๆ
“ว้ายยยยยยย…..” พี่เมนนี่ขึ้นเสียงสูงแล้วตีเผียะลงมาบนแขนขาวๆ ที่โผล่พ้นแขนเสื้อของฉัน แล้วจีบปากพูดต่อว่า “มาช่วยลุงกำนันใช่ไหม? รักชาตินะเราอ่ะ….”