Read it if you like or dont read it if you like. Because you make so little impression, you see.
อ่าน ถ้าคุณอยากอ่าน หรือไม่ต้องอ่าน ถ้าคุณไม่อยากอ่าน เพราะคุณจะฝากรอยไว้กับมันน้อยนิดเดียว
ตัวละครหญิงสาวผู้เป็นหม้ายโดยที่ยังไม่ทันได้เป็นเจ้าสาวคนนั้น ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้หญิงชราคนหนึ่งพร้อมคำพูดข้างต้น แทนที่จะเก็บรักษาจดหมายอันเต็มไปด้วยถ้อยคำแห่งสัญญาเหล่านั้นไว้ เธอเลือกจะยื่นส่งให้คนอื่นไปอ่าน (หรือไม่อ่าน) และเก็บรักษามัน (หรือไม่เก็บ) เพราะเธอไม่ต้องการให้มันมีฐานะอย่างหินสลักหน้าหลุมฝังศพ ซึ่งแม้จะยืนยงผ่านแดดผ่านฝน แต่มันก็ยืนยงอยู่อย่างนั้นเพียงเพื่อที่วันหนึ่งก็จะไม่มีใครจำได้กระทั่งชื่อและสิ่งที่รอยสลักนั้นพยายามจะบอกอีกต่อไป แล้วมันก็ไม่มีความหมาย
“เพราะอย่างนั้น บางทีถ้าคุณสามารถไปหาใครซักคน ยิ่งเป็นคนแปลกหน้ายิ่งดี แล้วให้อะไรบางอย่างแก่เขาไป อาจจะเป็นเศษกระดาษ หรืออะไรบางอย่าง อะไรก็ได้ที่ไม่ได้จะให้มีความหมายในตัวมันเอง และไม่ได้จะให้เขากระทั่งอ่านหรือเก็บมันไว้ ไม่ต้องเป็นธุระกระทั่งจะทิ้งหรือทำลายมันไป แต่อย่างน้อยที่สุด มันอาจจะกลายเป็นอะไรบางอย่าง เพียงเพราะบางสิ่งบางอย่างอาจจะบังเกิดขึ้น เพียงเพราะมันอาจจะเป็นที่จดจำได้ต่อให้แม้เพียงแค่เมื่อส่งผ่านจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่ง จากความคิดความรู้สึกของคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง และอย่างน้อยมันก็อาจจะเกิดเป็นรอยขึ้นซักรอย
“เป็นอะไรบางอย่างที่อาจประทับรอยไว้บนอะไรบางอย่างที่ครั้งหนึ่ง เคยมีอยู่ ได้ด้วยเหตุผลที่ว่าวันหนึ่งมันก็ตายได้ ในขณะที่ หินสลักนั้นไม่สามารถ มีอยู่ ได้ เพราะมันจะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งที่ เคยมีอยู่ ” (something that might make a mark on something that was once for the reason that it can die someday, while the block of stone cant be is because it never can become was.)
เคยมีคนวิเคราะห์คำพูดนี้ไว้ ว่าคือการยืนกรานว่าถ้อยคำและตัวอักษรนั้น ควรได้รับการส่งต่อกันโดยเป็นไปเอง แล้วเพียงหวังว่าอะไรบางอย่าง/อะไรก็ได้ จะเกิดขึ้น ต่อให้มันเป็นแค่การเกิดขึ้นของความรู้สึกที่ประทับอยู่ในใจ ว่าอะไรบางอย่างได้เกิดขึ้น การให้ตัวหนังสือนั้นถูกส่งผ่านมือของบรรดาคนแปลกหน้า คือการให้โอกาสแก่ความบังเอิญ คือความพยายามที่จะสลัดตัวเองจากโลกของกาลเวลาที่หยุดนิ่งตายตัว คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือการขัดขืนกาลวิถี (temporality) ที่ไร้กาลเวลา อันมีหินสลักหน้าหลุมฝังศพเป็นสัญลักษณ์ เพราะสำหรับตัวละครหญิงคนนี้ ความบังเอิญคือกาลวิถีที่มิได้ถูกลิขิตหรือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เป็นกาลวิถีเกิดขึ้นจากการมาบรรจบกันอย่างเป็นไปเอง ระหว่างถ้อยคำกับผู้คน ระหว่างคนแปลกหน้า ที่อาจทำให้อะไรบางอย่างที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้นได้ กาลวิถีแบบที่เป็นไปเองโดยความบังเอิญนี้ คือการคัดง้างกับกาลวิถีอันเป็นเนื้อเดียวกันและหนึ่งเดียวกัน ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เปลี่ยนแปลง คือความพยายามที่จะจินตนาการ หรือกระทั่งสร้างความเป็นไปได้ให้กับกาลวิธีแบบที่ต่างชนิด และไม่เป็นเนื้อเดียว (heterogeneous)ทั้งยังเป็นสิ่งยืนยันถึงการปรากฏขึ้นของอะไรอื่นที่สามารถทำให้ความต่อเนื่องของกาลสะดุดลงได้
มันมีอยู่ได้ เพราะมันมีวันตาย หากไม่มีวันตาย เท่ากับว่ามันไม่ได้มีอยู่ ความข้อนี้ชี้ถึงความย้อน-แย้งของกาลเวลาและการดำรงอยู่ ราวกับจะหัวเราะให้กับความพยายามที่จะสถาปนาความเป็นปึกแผ่น ยิ่งยง มั่นคง และชั่วนิรันดร์
ตัวละครหญิงคนหนึ่งพูดถึงตัวละครหญิงอีกคนหนึ่งว่า ความอ่อนวัยและอ่อนประสบการณ์อาจเป็นข้อแก้ตัวได้สำหรับสิ่งที่หล่อนเป็นมา และเมื่อเวลาผ่านไป แม้เมื่อไม่อาจอ้างความอ่อนวัยและอ่อนประสบการณ์มาแก้ตัวได้อีกต่อไปแล้วนั้น หล่อนก็ยังทำแบบเดิม
วารสาร อ่าน มาถึงปีที่ 2 ได้ด้วยการลองผิดลองถูกที่ยังไม่ต่างจากเมื่อเริ่มต้น ลองเสี่ยงที่จะเชื่อว่าในสังคมนี้ยังมีคนที่จะไม่รังเกียจการอ่านอย่างเอาจริงและไม่รังเกียจการวิจารณ์อย่างจริงจัง ไม่รังเกียจบุคลิกนิ่ง เงียบ และมีระยะห่าง ไม่รังเกียจความยาวและนาน ไม่รังเกียจพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็น วารสารวิชาการกับนิตยสารเพื่อความบันดาลใจ ลองเสี่ยงที่จะเชื่อว่ายังมีผู้คนในโลกวิชาการที่ไม่รังเกียจจะเขียนงานลงในวารสารที่ไม่มีค่าชี้วัด “IMPACT” เพื่อตำแหน่งทางวิชาการ เพราะเชื่อใน “ผลสะเทือน” ของการเติบโตของการอ่านในสังคมสาธารณะ ลองเสี่ยงที่จะเชื่อว่านักเขียนนอกโลกวิชาการจะไม่รังเกียจที่จะเขียนให้คนในโลกวิชาการได้อ่านงานของคนบ้านๆ ซึ่งตีพิมพ์อย่างเสมอหน้าในพื้นที่เดียวกัน
ความก้ำกึ่งของเรายังลามไปถึงเกณฑ์ในการพิจารณาต้นฉบับ แม้จะรู้สึกขอบคุณซาบซึ้งด้วยใจจริงต่อทุกบทความที่ให้เกียรติส่งเข้ามา แต่หลายครั้งเราก็ไม่อาจตีพิมพ์ได้ ทั้งที่คุณภาพของบทความหลายชิ้นนั้นสามารถลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมาตรฐานอื่นๆ หรือนิตยสารมาตรฐานอื่นๆ ได้อย่างปราศจากข้อกังขาใดๆ ในขั้นตอนของการทำต้นฉบับ กระทั่งระบบเชิงอรรถของเราก็ยังก้ำกึ่ง ปรับไปมานับจากฉบับแรก กว่าจะได้ระบบที่เหมาะสมลงตัวกับเนื้อหาและดีไซน์ของเรา ซึ่งก็ไม่อาจจัดเข้าประเภทของระบบของมหาวิทยาลัยใด (อาจเรียกพลางๆก่อนได้ว่าเป็นระบบ AAN Style)
จะว่าไป กระทั่ง อ่าน ฉบับนี้ ก็ยังเป็นฉบับรวบสองไตรมาสเสียดื้อๆ อย่างนั้น (โดยไม่มีผลต่อจำนวนเล่มที่สมาชิกจะได้รับสี่เล่มต่อปี) เนื่องจากต้นฉบับจำนวนไม่น้อยไม่ได้เขียนเสร็จในช่วงไตรมาสก่อนหน้า และเราไม่ต้องการให้เกิดความคลาดเคลื่อนสับสน หากจะมีการใช้อ้างอิงต่อไป
อ่านนิยม มิใช่หมายถึงความนิยมที่มีต่อ อ่าน แต่หมายถึงสิ่งที่ อ่าน เพียงนิยมจะเป็น อันล้วนเป็นการลองผิดลองถูกของพื้นที่ของความขัดแย้งในตัวเองเกินกว่าจะสถาปนาตัวเองเป็นสถาบันอย่างไร มันเป็นแค่อะไรบางอย่างที่มีอยู่เพื่ออาจจะเกิดรอยบนอะไรบางอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ได้ เป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่งระหว่างถ้อยคำกับผู้คน ระหว่างคนแปลกหน้า ที่อาจทำให้อะไรบางอย่างที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น (หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้) มันมีอยู่ เพราะมันพร้อมเสมอสำหรับการไม่มีอยู่ต่อไป
วารสาร อ่าน สู้อุตส่าห์อยู่มาได้จนถึงปีที่ 2 เราไม่อาจบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เรารับปากได้ว่าเราจะไม่ยอมกลายเป็นสถาบัน ไม่ยอมเติบโตมั่นคงยิ่งใหญ่ และจะไม่ยอมมีอยู่ตลอดไป
ทั้งนี้ เป็นไปได้มากว่าตัวละครหญิงผู้เป็นหม้ายโดยที่ยังไม่ทันได้เป็นเจ้าสาวคนนั้น ครั้นเวลาสักหลายปีผ่านไป หล่อนยังอาจกลายเป็นผู้หญิงที่เป็นหม้ายโดยที่ยังไม่ทันได้เคยเป็นอะไรเลย
หมายเหตุ: บันดาลใจจากความหมกมุ่นต่อตัวละครและข้อความบางตอนในนวนิยาย Absalom, Absalom ! ของวิลเลียม โฟล์คเนอร์ และขอไว้อาลัยแก่การจากไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2552 ของสองนักวิจารณ์หนังรุ่นใหม่ Alexis Tioseco และ Nika Bohinc เพื่อนผู้จากไปทั้งที่ยังไม่ทันจะได้เป็นคนแปลกหน้าของ อ่าน รวมทั้งขอไว้อาลัยต่อข่าวการปิดตัวของวารสาร สานแสงอรุณ ในปลายปีนี้ ซึ่งการจากไปเหล่านั้น คือการยืนยันถึงการมีอยู่ของพวกเขา และท้ายที่สุด ขอไว้อาลัยต่อความไร้สติของการพยายามจะทำให้เกิดการตายเพื่อสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา