ยินดีต้อนรับสู่โลกสลิ่มค่ะ งงละสิ ข้อเขียนสลิ่มสมองกลวงๆ นี้จะมาอยู่ในหนังสือปัญญาชนได้อย่างไรกัน หึหึ เรื่องของเรื่องคือ ฉันจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของฉัน ความคิดตื้นๆของฉัน ในฐานะสลิ่มชาวกรุงเทพฯ ผู้ขอเคลมตัวเองว่าเป็นสลิ่มโดยแท้จริงมาแต่กำเนิด และยังใช้ชีวิตสลิ่มเต็มตัวทุกอย่าง ไม่ว่าความคิดความรู้สึก ไลฟ์สไตล์ เพื่อนรอบข้าง ครอบครัว ฯลฯ และผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองที่สับสนวุ่นวายในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา และดูท่าจะยังวุ่นวายไปอีกหลายปีแน่ๆ
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำว่าสลิ่มจะกลายเป็นคำทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดคำหนึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งสำคัญของไทยขนาดนี้ และกลายเป็นคำด่าคำตำหนิติเตียนคนกลุ่มหนึ่งอย่างเข้มข้น โดยที่กลุ่มคนที่โดนเรียกขานยังมีอารมณ์ขันกับคำคำนี้ และยินดีเรียกตัวเองตามที่กลุ่มชนชั้นที่เรียกตัวเองว่าเสรีชนจะเรียกพวกเขาเช่นนี้เหมือนกัน ในขณะที่กลุ่มหนึ่งเรียกขาน “สลิ่ม” อย่างเหยียดหยัน สลิ่มยังชิลๆ เหมือนที่ชิลๆ กับการเมืองไทยอย่างไม่รู้สึกรู้สมอะไร
ฉันผู้กางขาสองขาเหยียบสองแคมของโลกสองโลก คือโลกสลิ่มโลกสวยสุขสันต์ปี๊ดๆ กับโลกเสรีชนที่หม่นหมองหาชัยชนะไม่เคยเจอ ก็อยากจะแชร์อะไรหลายอย่างให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
แน่นอน มันไม่อาจเป็นบทความเพื่อการอ้างอิงเยี่ยงข้อมูลสำหรับงานวิจัย ไม่ใช่งานวิชาการที่จะไปโชว์ออฟอย่างที่เสรีชนเขาชอบทำได้ ก็แค่เรื่องเล่าจากสายตาที่มองไปเรื่อยๆ ผ่านสมองน้อยๆที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายนักหนา สาวแก่วัยประจำเดือนใกล้หมดอยากจะมาเล่าอะไรให้อ่านเล็กๆน้อยๆ จากโลกสลิ่มมาถึงโลกเสรีชนในกรุงเทพมหานครเมืองอมรของคนโลกสวยนี่แหละ
ความที่อยู่ในกรุงเทพฯมาแต่กำเนิดและอยู่ในครอบครัวที่ไต่เต้ามาแต่รุ่นพ่อเพื่อให้มีฐานะที่ดีกว่าสังคมรอบข้าง ทำให้ฉันได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นกลางอย่างภาคภูมิใจ และมีเป้าหมายสำคัญคือการก้าวเข้าสู่ชนชั้นที่สูงขึ้นไปในสังคม นี่แหละ! มันเป็นปกติมากที่เราจะไม่หยุดนิ่งกับชีวิตของตัวเอง
สมัยเรียนฉันรักวิชาประวัติศาสตร์ที่สุดค่ะ เป็นวิชาที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด และสนใจมากที่สุดมาตลอด แต่พอถึงเวลาสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็รู้ตัวเองว่า “กูจนไม่ได้ ไปเรียนสาขาทางโน้น กูจนแน่ๆ” ฉันก็เลยเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าผลิตแต่ผู้บริหารระดับสูงให้แก่วงการธุรกิจไทยและต่างด้าว และคนที่จะไปเรียนได้ก็ต้อง “มีเงิน” เลยทีเดียว
สังคมมหาวิทยาลัยที่ฉันอยู่เป็นสังคมแห่งการตะเกียกตะกาย ไม่ว่าจะตะเกียกตะกายหาเพื่อนร่ำรวยมี connection ที่ดี ไม่ว่าจะหาผัว เอ้ย สามีรวยๆ เพื่อความมั่นคง ไม่ว่าจะเข้าหาอาจารย์เพื่อขอเกรดให้เรียนจบ ทุกอย่างคือการสร้างฐานอนาคตให้ชีวิตทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ ฉันคิดเองเออเองหมด ขณะที่พ่อแม่อยากให้เข้าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ฉันไม่มองเลยค่ะ ฉันรู้ว่าฉันต้องการอะไร
“เงิน”
เงินเท่านั้นที่จะทำให้เราไปได้ในทุกที่ ทุกสังคม เงินเท่านั้นที่จะทำให้เราทัดเทียมทุกคน และเหนือคนอีกนับล้านคน (ที่ยังจนไม่เลิก) เงินเท่านั้นที่ทำให้เรามีเพื่อน มีสังคม มีพี่มีน้องมีญาติ
“ไม่มีเงินก็หมาตัวหนึ่งแหละ” ญาติของฉันเคยบอกไว้
มันจริงนะคะ มีเงินนับน้อง มีทองนับพี่ มีทั้งเงินทั้งทอง เป็นทั้งพี่เป็นทั้งน้อง เป็นพี่น้องท้องชนกันได้ด้วยนะเออ!!
วิถีชีวิตชนชั้นกลางของคนกรุงเทพฯ ล้วนแต่มีเป้าหมายเพื่อเรียนให้ได้เกรดดีๆ ทำงานให้หนัก สร้างฐานะให้มั่นคง มีครอบครัวสมบูรณ์ มีงานการที่ดี ได้เที่ยว ได้ช้อปปิ้ง มีบ้านหรู มีรถสวย มีเครื่องเพชรเครื่องประดับสมหน้าตา มีเงินในธนาคารพอกับการสนองตัณหา เอ้ย ความต้องการของตัวเอง โลกของเรา โลกของสลิ่มอย่างเรามันก็เรียบๆง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไร ไม่ได้ซับซ้อนอะไร
ไม่เข้าใจว่า เพียงแค่เราไม่ก้าวก่ายชีวิตของใครต่อใคร ทำทุกอย่างโดยไม่พึ่งพาใครไม่ว่ารัฐหรือ NGO ไหนต่อไหน เรียนและทำงานด้วยตัวเรา เบียดเบียนก็แค่สมบัติพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ไม่รบกวนใคร ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อนใจ ไม่เข้าใจว่า ทำไมการเป็นคนดีของสังคม ไม่ไปยุ่งเกี่ยวก่อม็อบก่อหวอดอะไรกับใคร จะทำให้เรากลายเป็น “สลิ่ม” โง่ๆ สำหรับสังคมไทยไปได้
ใจร้ายไปไหมที่เรียกเราแบบนี้
สลิ่มอย่างฉันหรือคนรอบข้างก็มีความคิดของตัวเองในการมองการเมือง ตัวฉันอาจจะต่างจากครอบครัว มิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน ห้นุ ส่วนการค้า แต่ฉันก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไร เพราะอะไร แล้วทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นเหยื่ออารมณ์ของเสรีชนผู้รักประชาธิปไตยไปได้
น่าสงสารจังเลย สลิ่มน้อยๆที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า โดนพวกเสรีชนด่าอย่างหยามเหยียดว่าสมองน้อยเหมือนจิ๋มปลวก กลวงไม่มีดี ไร้เดียงสาทางการเมือง ไร้วิจารณญาณ โง่ประวัติศาสตร์ งมงายในไสยศาสตร์และโฆษณาชวนเชื่อ ปัญญาอ่อนในความรัก ไม่เคยมองเหรียญอีกด้าน เห็นแก่ตัว ลำเอียงไม่มีที่ติ อคติบังตา มักง่าย ความคิดตื้น โลกสวย ไม่ “PC”
โอ๊ย ด่าขนาดนี้ ฆ่าฉัน ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า
แต่ฉันแคร์หรือ?
(ยักไหล่ ขำๆ) กูมีเงิน
[อ่านฉบับเต็มได้ใน อ่าน-อาลัย]