สำหรับคนไทยรุ่นปัจจุบัน เรารู้เรื่อง “กะเหรี่ยงคอยาว” หรือชนเผ่า “ปะด่อง” จากเพียงภาพถ่าย รายการสารคดีในทีวี และล่าสุดคือข่าวของนายทุนไทยได้รุมแย่งรุมทึ้งผู้หญิงคอยาว บุคลิกหน้าตาเหมือนมาจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ เอาไปอยู่ในพื้นที่เฉพาะ ดังที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเป็น “สวนสัตว์มนุษย์” ไว้เก็บเงินคนเข้าชมความมหัศจรรย์ของคนคอสูงโงนเงน มีห่วงโลหะวนรอบ ดูแล้วพิสดารแปลกประหลาด เราแทบจะรู้จักคนคอยาวเหล่านั้นเพียงเท่านี้ เหมือนเป็นคนป่า คนไร้อารยธรรม ทำได้เพียงปลูกฝิ่น ปลูกข้าวพืชผัก ล่าสัตว์หาของป่า แม้มีภาษาพูดแต่ก็ไม่มีตัวอักษรของตัวเอง เราแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขา คนที่เป็นเพื่อนบ้านของไทย ตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐกะยา และรัฐฉาน ฝั่งพม่า มีเพียงภูเขาและเส้นพรมแดนไม่ชัดเจนกั้นขวางกับแผ่นดินไทย เพราะในความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏก็คือ เหมือนเราอยู่คนละโลก คนละสมัยเวลากับชนเผ่าปะด่อง ผู้ราวกับมาจากอดีตชาติเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้
ประมาณสิบกว่าปีก่อน ดิฉันได้มีโอกาสเข้าไปเขียนสารคดีเกี่ยวกับผู้หญิงคอยาว ที่บ้านในสอย อ.เมือง จ. แม่ฮ่องสอน ภาพเลือนๆ ที่จำได้ในวันนี้คือ ความรู้สึกหงุดหงิด เซ็งสุดๆ ที่พี่ช่างภาพหลายคนขอให้ “มะนัง” หญิงปะด่องวัยสี่สิบกว่าปี แบกก๋วยหรือตะกร้าสาน เดินขึ้นลงเนินดินเป็นนางแบบให้ดูเป็นวัฒนธรรมชนเพ้า..ชนเผ่า ทั้งที่ฝนเริ่มลงเม็ดปรอย ช่างภาพหลายคน รวมทั้งดิฉันเองรุมกันถ่ายภาพมะนังซะแทบทุกอิริยาบถ ทุกกิจวัตร ตั้งแต่เย็บผ้า ปอกฟักทอง ติดเตาไฟ ทำอาหารเย็น ถ้าถ่ายภาพเธอเดินไปเข้าส้วมหรือนั่งยองๆ อยู่ในส้วมได้ เราคงกระโจนเข้าใส่อย่างไม่รั้งรอ ระหว่างทำงานนั้น ดิฉันเกิดความรู้สึกพะอืดพะอมกับสิ่งที่ทำอยู่ จนต้องวางกล้องถ่ายรูปแหมะลงข้างตัว พอกันซะที แล้วพยายามปกปิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจเผื่อจะรู้สึกแย่กับงานอาชีพที่ตัวเองทำอยู่น้อยลงบ้าง ด้วยการนั่งคุยกับผู้หญิงปะด่องหลายคน ซักถามชื่อเสียง ที่มา ความเป็นอยู่ ความใฝ่ฝัน และความทุกข์ของพวกเธอ เพียงเพื่อจะพบความจริงพื้นๆ ว่า เธอไม่ต่างอะไรจากเรา หรือจากคนไทยทั่วทุกภูมิภาคที่ดิฉันได้เคยพบปะพูดคุยทำงานด้วยกันมา เพราะสิ่งเดียวที่คนเหล่านั้นต้องการมากที่สุด คือชีวิตครอบครัวอันสงบสุข พอเลี้ยงตัวเองได้ในไร่นาที่ไม่มีหนี้สิน ไม่มีความทุกข์ยากเดือดร้อนใดๆ ไม่มีใครถืออาวุธมากดหัวจนไม่มีโอกาสได้เงยหน้าอ้าปากกับใครเขาได้
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้จักคนปะด่องเอาซะเลย อีกทั้งความรู้สึกแย่ๆ ในวันนั้นก็ผ่านเลยไปตกคลักยังก้นบึ้งความทรงจำเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่หมักหมมตายซากในนั้น เพื่อจะกลับมาเยือนอย่างน่าสะพรึงกลัวในความฝันหรือในมโนสำนึกที่วูบกลับมาเมื่อมีบางเรื่องกระแทกเข้าไปสะกิด โดยความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ สำหรับเวลาสั้นๆ กับคนปะด่องในครั้งนั้น ดิฉันไม่อาจมองเห็นอารยธรรมใดๆ ของพวกเขาได้ ไม่รู้สึกหรือประจักษ์สำนึกสักน้อยว่าบนโลกนี้ ใกล้บ้านเราแค่นี้ มีชนเผ่าเล็กๆ นี้อยู่ร่วมโลกกับเราด้วย ดิฉันลืมเลือนทุกอย่างไปเกือบหมด ไม่เหลือความใส่ใจใดๆ จนกระทั่งได้พบงานเขียน มาจากแดนผีดิบ:ปาฏิหาริย์แห่งโชคชะตาของพม่าคนหนึ่ง (From the Land of Green Ghosts: A Burmese Odyssey) ที่ทำให้นึกถึงผู้หญิงคอยาวขึ้นมาได้อย่างแจ่มชัด พร้อมไปกับการที่ดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ในภาคภาษาไทยซะสองเที่ยว และยังสามารถหยิบมาเปิดดูบ่อยๆ ทั้งยังได้อ่านคร่าวๆ ในภาคภาษาอังกฤษอีกด้วย ถือเป็นงานเขียนชั้นดีสุดยอดชิ้นหนึ่ง ที่ได้ผ่านสายตาในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา