Outline of the Genesis (Series II : The Flood)

ความเดิมจากซีรีส์แรกเป็นกรรมเก่าที่ลงท้ายโดยอ้างอิงคำของศิลปิน อารยา ราษฎร์จำเริญสุข

(…) ไม่เว้นแม้ฉากทิวทัศน์สวยที่เมื่อเรายืนอยู่ตรงหน้าดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก ณ เส้นขอบฟ้า จรดทะเลหรือขอบเขาครั้งใด
เราตกภวังค์เก่าเดิมที่อาจเปลี่ยนแค่สถานที่กับผู้ร่วมเดินทาง
จำต้องหาทางออกสวยหากพิสดารที่ว่า
“ในการให้ความหมายใหม่ต่อทิวทัศน์เก่าแก่ คนเราอาจจำต้องเผชิญวิบากกรรมเดิมๆ”

กรรมเก่าคือผลงานชุด The Two Planets ที่ศิลปินให้ชาวบ้านชาวไร่ชาวนามานั่งล้อมวงริมหนองริมบึงข้างไร่ใต้กอไผ่ พูดคุยวิจารณ์ภาพกระแสอิมเพรสชันนิสม์ กรรมใหม่ในซีรีส์สองชื่อ The Village and Elsewhere เปลี่ยนภาพ และเพิ่มสถานที่ในโบสถ์เมื่อพระวิพากษ์งานเจฟคูนเพื่อถอดธรรมะสอนผู้ฟัง เพิ่มสถานที่ในตลาดที่ประชาราษฎร์พรึงเพริดกับภาพเซ็กส์ของเจฟคูน เวรซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไรเมื่อศิลปะสลัดศีลห้าหรือแปดไม่พ้น ชำระด้วยอะไร ? หรือต้องรอน้ำหลากให้พรากสองด้านออกไปคนละกระแสความเชี่ยว ?

ประสิทธิผลของงานศิลปะเคว้งคว้างมาเมื่อพระสอนธรรมะผ่านผลงานศิลปะตะวันตก (วันหนึ่งคงต้องลองลอกภาพสีฝาผนังไทยไปให้บาทหลวงฝรั่งอบรมชี้แจงกับผู้ศรัทธาในโบสถ์ แล้วผลจะดิบสุก ? หัวก้อย ?) ข้อคิดสอนจิตและใจมีหลากระดับ ไม่ใช่ตามแต่ชนชั้น แต่คือระดับความคิดความแตกต่าง หนึ่งนั้น จิตรกรรมตะวันตกโบราณและทฤษฎีที่ควบคู่มาด้วยในโบราณกาลงึมงำในปากว่างานต้องสวมบทบาทตักเตือนสั่งสอนให้สำนึกคิดเตือนอารมณ์เตือนสติ เรื่องราวจากไบเบิลหรือภาพปกรณัมสร้างฐานความเชื่อถือด้วยว่าเป็นตัวบทและด้วยว่าความเข้าใจสำเหนียกรู้อ่านจะขุดคำสอนคติพจน์นานาออกมาประโลมใจ ทว่า เหตุจากศาสนา อาทิ ฉากจูดิทหั่นบั่นหัวนายพลหรือแม่ทัพ
โฮโลเฟอร์เนส (อะฮ่า การเมืองเห็นๆ…) ชวนตื่นตระหนกหวาดเสียวเกินไกลกว่าจะพยุงศีลธรรมไปด้วย สุนทรียศาสตร์เชิดใส่จริยธรรมอย่างออกหน้าออกตา ทว่า วีนัสและนางในตำนานเล่าลือทั้งหลาย อพอลโลและ
หลากวีรบุรุษทั้งหลายจากโอลิมปัส อาจหาญเปลืองผ้าผ่อนน้อยที่สุด กิเลสตัณหาทำท่ายะโสใส่ศีลธรรมอย่างไม่อายขายหน้า ศิลปะรู้หลบ(บทเรียน)เป็นปีก รู้หลีก(คำสอน)เป็นหางไม่ว่าครูทฤษฎีจะปาวๆ ประกาศคำประเสริฐตามตำราเล่มใดก็ตาม อารยาทำให้เห็นประเพณีเดิมจากทฤษฎีและความคิดดั้งเดิมที่ผูกติดผลงานเหล่านั้น ชิ้นงานคือทางเบี่ยงให้เลี่ยงไม่ต้องมอง คือของใช้เพื่อให้ผ่าน

สองนั้น พระสอนธรรมะด้วยผลงานสมัยใหม่ เจฟคูนตั้งเป็นตัวอย่างกิเลสโลภหลงราคะ วีดิทัศน์ทำให้เห็นการบิดเบือนหรือย้อนให้เห็นต้นตอขนบเดิมของภาพ การเบือนจุดประสงค์ให้ผลสองต่อ ต่อที่สองเป็นการโปะของเก่ากลับหาของใหม่ที่สลัดทิ้งของเก่าไปนานโข หักหน้าเจฟคูนโดยจับลงโหลคติเตือนใจโบราณเมื่อนั่นคือหนทางใหม่ให้มองเจฟคูนไปอีกแบบ แบบว่า…

ว่าสามนั้น การสร้างสถานการณ์สไตล์ไม่ถูกที่ทางและเจตจำนงเดิมของผลงาน ต่างจากการเย้ยหยันหัวเราะเยาะ (คงไม่ใช่อารมณ์ขันราคาไม่แพงปานนั้น) ไม่ใช่เหน็บแนมศาสนาที่ไม่รู้ภาษาศิลปะ (ถ้าเช่นนั้น ชาวบ้านก็ถูกกระทบอย่างจังโดยไม่อาจคาดหวังอะไรได้มากกว่านั้น) เนื้อหาย้ายจากเนื้อในที่ว่าด้วยการพูดคนละภาษาถิ่นที่ออกสู่งานวิดีโอที่จัดระบบของสิ่งต่างๆ ใหม่ แปลงความแปลกปลอมให้ไว้ในขอบเขตของบทเรียนปลอม แต่จริง สำหรับผู้ชมเหล่านั้น ภูมิทัศน์ในโบสถ์กลายเป็นอาณาเขตการเมือง เมื่อสรรพสาระถูกกำหนดจัดแบ่งตามหลักปฏิบัติอื่น เมื่อศิลปะสู่ศาสนา เมื่อศาสนารับรู้ศิลปะ เมื่อศิลปะแตกแยกจากตัวมันเอง ครั้งที่ศาสนาแปลกแยกจากตัวเอง ต่างละวางบทบาทดั้งเดิมเพื่อลองเล่นและรู้ความแตกต่างในฐานะภาพ และไม่ว่าจะคงภาพไว้หรือไม่ แต่การล่วงล้ำจากกันและกันทแยงบอกตำแหน่งแห่งหนของหน้าที่อื่น ประสิทธิผลของงานศิลปะโดยตัวมันเองก็เป็นคำอุปโลกน์พอๆ กับการเป็นสิบแปดมงกุฎ อันความคาดหวังของแต่ละฝ่ายอาจไม่ได้เป็นความคาดหวังอะไรเลยจากผลงาน มงกุฎหนาม (อุ๊ปส์! เยซูมาอีก) ชวนเจ็บหัว ปวดทิ่มแทงขอบหนังศีรษะ ในขณะเดียวกันก็ชูยกเหยื่อเป็นฮีโร่ผู้มาไถ่บาป ศิลปะดุจพระมหาไถ่ ไถ่ตนจากบาปมลทินและความผิดบาปที่ไม่ได้ก่อ สวดภาวนาเพื่อมงกุฎนิรนามในนามของใคร ? เจฟคูน ?

อ่านอารยาหาได้เป็นการแกะสารสำเร็จรูปรอการเปิดผนึก หาใช่การเค้นเอานัยหรือรหัสแปลกปลอม (คำ “รหัส” ช่างสามัญจนสามานย์เสียจริง) เพื่อค้นเอาท้ายสุดว่าอารยาบอกว่า อะไร อันไม่พ้นอ่านอารยาเพราะตีขลุมว่ามีข้อคิดเตือนสติไม่ต่างจากงานตะวันตกโบราณ ศิลปะที่หมายมาดสอนผู้อื่นโดยยกตนเป็นแบบพึงเป็นได้แค่แบบเรียนสอนอักขระเบื้องต้น ศิลปินและศิลปะที่แทรกสู่ชุมชน เข้าหาท้องถิ่น เจอะเจอหน้าตาผู้ไร้หน้าตาทางสังคม โดยหวังผลให้ศิลปะมีผลต่อการรับรู้ ต่อความเป็นอยู่ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ จึงสร้างสภาวะผิดฝาผิดเหล่า แทนตนเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือครูประชาบาล ปฏิบัติการเชิงสังคมและการเมืองของศิลปะสมอ้างแบบแผนบางอย่างที่รอการถ่ายทอดและตกทอดถึงสลัม ถึงย่านชุมชนแออัด ถึงถิ่นที่ไกลปืนเที่ยง ตามไหล่เขา หุบเหว ยุทธศาสตร์แบบหวังผลมักไปไม่ไกลไปกว่าโต๊ะไม้สักหรูในห้องติดแอร์ เพราะที่แท้คือคิดบวกลบด้วยเครื่องคำนวณโดยแทบไม่ต้องนับนิ้ว เหล่าโครงการศิลปะเพื่อโน่น เพื่อนี่ เพื่อหวังจะมาประจบลงที่ตัว กล่าวคือเชิดชูประโยชน์และผลพลอยได้ โครงการดังกล่าวย้อนยุคกลับสู่ผนังโบสถ์เมื่องานฝีมือปักหลักถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำตัวเป็นทางผ่านก่อนย้อนมาดูและเติมค่าทางผ่านนั้น ชวนสลดกับหลากหน้าตาศิลปะที่มีพฤติกรรมฮิปปี้ย้อนยุคฉาบด้วย moral เจือจางของการต้องช่วยเหลือนานาสัตว์โลก ยอมลงสู่ภาคพื้นเพื่อแก้ปัญหาอารมณ์สุนทรีย์ของชาวบ้าน ของเด็กด้อยโอกาส และอีกหลายร้อยพันเจ็ดโปรเจ็กต์ศิลปะปฏิบัติการศิลปะที่ลงทำนาเกี่ยวข้าวด้วยตุ้มหูและนาฬิกาโรเล็กซ์ (และอย่าได้ล่วงล้ำถึงภายในยี่ห้อคาลวินไคลน์…) การแทรกลงต่างถิ่นที่หาใช่ทำตนกลมกลืน (แบบปลอมชั่วคราว) ที่กลายเป็นทำเนียนเลียนแบบฮิปปี้หลงยุค (เอหรืออยากจงใจ kitsch) ผนวกหลักจริยธรรมพร้อมจะแผ่อานิสงส์ วณิพกโรแมนติกเร่ร่อนจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน คนประหลาดแต่งตัวรุ่ยร่าย ผมเผ้าเขลอะเปรอะหน้าตารุงรัง ยังคงหลงเหลือเป็นแบบเรียนสมัยที่ต้องรักชาติรักท้องถิ่นรักธรรมชาติ ความเรียบใสง่ายพอและเพียงเคียงหมู่นกข้างหมู่ปลา ประสิทธิผลของศิลปะพึ่งได้เพียงในฐานะสิ่งแปลกปลอมที่ไม่อาจเทศนาอะไรได้นอกไปกว่าความเท่ห์ เอื่อยๆ เรื่อยๆ อาการ
พาร์คินสันมะรอมมะร่อ…
****