เราไร้ใบหน้า เพราะเราปฏิเสธการกรีดกรายของพวกคนเด่นคนดัง เพราะเราคือทุกคน เพราะงานฉลองเพรียกหา เพราะโลกกลับตาลปัตร เพราะเราอยู่ทุกหนแห่ง ด้วยการสวมหน้ากาก เราบอกให้รู้ว่า เราเป็นใครไม่สำคัญเท่ากับเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับทุก ๆ คน
ผู้เขียนเคยเขียนถึงหนังสือของเดวิด เกรเบอร์ มาก่อนแล้ว เกรเบอร์เป็นนักมานุษยวิทยาและนักอนาธิปไตยเชิงปฏิบัติ (พูดภาษาบ้านๆ คือเป็นขาลุย) ในหนังสือชื่อ Possibilities ของเขา เกรเบอร์บอกว่า เนื่องจากอนาธิปไตยเป็นแนวทางในการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี ดังนั้น การศึกษาอนาธิปไตยที่ดีที่สุด คือวิธีการศึกษาแบบมานุษยวิทยา โดยใช้การวิจัยภาคสนามที่เรียกว่า ชาติพันธุ์วรรณาหรือชาติพันธุ์นิพนธ์ (Ethnography) กล่าวคือ การลงไปคลุกคลีกับกลุ่มคนที่เป็นเป้าการศึกษา แล้วนำข้อมูลมาเขียนเป็นงานเชิงพรรณนาถึงรูปแบบการปฏิบัติของคนกลุ่มนั้นๆ
*
นั่นคือที่มาของหนังสือเล่มหนาขนาดห้าร้อยกว่าหน้าชื่อ Direct Action: An Ethnography ในหนังสือเล่มนี้มีทั้งบันทึกประจำวันที่เล่าเรื่องการวางแผนและการชุมนุมประท้วงการประชุม FTAA ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา
เมื่อ ค.ศ. 2001 บันทึกการประชุมแบบกระบวนการแสวงหาฉันทามติของนักกิจกรรมแนวทางอนาธิปไตย การวิเคราะห์เชิงทฤษฎี การพรรณนาตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในการประชุม การปฏิบัติการ พร้อมทั้งตัวละครที่มีตัวตนจริงแต่ใช้ชื่อปลอมอีกกว่าร้อยคน อักษรย่อและชื่อองค์กรอีกกว่าร้อยองค์กร บทสนทนาในร้านเบียร์และร้านกาแฟ ทั้งหมดนี้ให้ภาพที่กระจัดกระจายแต่มีชีวิตชีวาของกลุ่มคนและปฏิบัติการที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่เรียกกันอย่างหลวมๆ ว่า “ขบวนการสังคมใหม่”
*
กลุ่มคนที่เกรเบอร์ลงไปคลุกคลีด้วยและเขาถือตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น ประกอบด้วยกลุ่ม New York City Direct Action Network (NYC DAN) กลุ่ม Ya Basta! และบางส่วนของกลุ่ม “แนวร่วมชุดดำ” (Black Bloc) ซึ่งมีลักษณะเป็นกลุ่มเครือสหาย (affinity group) กลุ่มเครือสหายคือกลุ่มจัดตั้งตามแนวทางอนาธิปไตย แต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนจำนวนไม่มากนัก ตั้งแต่ 4-5 คน ไปจนถึง 20 คน กลุ่มเครือสหายมีบทบาทอย่างมากในการชุมนุมประท้วงของขบวนการสังคมใหม่ ถึงแม้ขบวนการสังคมใหม่ไม่ได้มีแค่กลุ่มเครือสหาย แต่มีทั้งสหภาพแรงงาน เอ็นจีโอ กลุ่มโบสถ์ ปัจเจกบุคคล กลุ่มมาร์กซิสต์ ฯลฯ แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่า กลุ่มเครือสหายต่างหากที่เป็นหน้าตาของขบวนการ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ “ขโมยซีน” ไม่ว่ากลุ่มหรือองค์กรอื่นจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม
*
และในบรรดา “ตัวขโมยซีน” ที่ไปปรากฏในสื่อมากที่สุดและกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันมากที่สุดก็คือ กลุ่ม
“แนวร่วมชุดดำ” ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปีนี้ (2554) ในการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ลอนดอนเพื่อประท้วงการตัดลด
งบประมาณภาคสาธารณะของรัฐบาลที่เรียกว่า “March for the Alternatives” มีประชาชนมาเข้าร่วมตั้งแต่ 250,000 จนถึง 500,000 คน แล้วแต่การประเมินของสำนักไหน (ถ้าเป็นสื่อกระแสหลักก็อยู่ที่สองแสนห้า สื่ออินดี้ก็อยู่ที่ห้าแสน ซึ่งน่าจะผิดทั้งคู่) การเดินขบวนเพื่อเรียกร้องหาทางเลือกอื่น ลงท้ายกลายเป็นการปะทะที่สื่อเรียกว่า “สมรภูมิแห่งจัตุรัสทราฟัลการ์” กลุ่มแนวร่วมชุดดำแสดง “พลเมืองขัดขืน” ด้วยการทุบหน้าต่างบรรษัทและธนาคาร ที่ดุเดือดไม่แพ้กันคือตามสื่อออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการ “พลเมืองขัดขืน” เหล่านี้ (แม้จะไม่มีโอกาสโคลงหัวทำปากจิ๊กจั๊กแบบผู้ประกาศข่าวบ้านเราก็ตาม) จนกลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ สื่อที่โดนรุมอัดรุมตอกจนสะบักสะบอมเห็นจะเป็นบีบีซี ซึ่งถูกข้อครหาว่าเข้าข้างฝ่ายผู้ประท้วงอย่างออกนอกหน้า
*
ปฏิบัติการของกลุ่มแนวร่วมชุดดำสร้างข้อถกเถียงทั้งในฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย พวกเขาเป็นที่หวาดกลัวของ
กลุ่มหัวอนุรักษนิยมเคร่งระเบียบ เป็นที่ชิงชังของบรรดาบรรษัทธนาคารที่ต้องซ่อมกระจกหน้าต่างหรือทาสีผนังใหม่ เป็นเหยื่อโอชะของสื่อกระแสหลักในการเล่นข่าวหวือหวา เป็นที่ขัดใจของพวกนักสันติวิธี เป็นที่ปวดหัวของฝ่ายซ้ายที่เห็นว่าการกระทำของพวกเขาเบี่ยงเบนประเด็นที่ต้องการสื่อสาร เป็นที่รักใคร่ของนักกิจกรรมสังคมแนวอนาธิปไตย เป็นหัวข้อของการถกเถียงอีรุงตุงนัง
*
แต่พวกเขาไม่ค่อยพูด
*
แม้ว่าเดวิด เกรเบอร์ไม่ได้เป็นแนวร่วมชุดดำ แต่เขาเป็นหนึ่งในนักวิชาการน้อยรายที่พยายามปกป้องคนกลุ่มนี้ในทางทฤษฎี กล่าวได้ว่าเกรเบอร์เป็นปากเสียงให้คนเหล่านี้ ในหนังสือ Direct Action ที่มีแง่มุมต่างๆ มากมาย
สิ่งหนึ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็คือคำพูดและแนวคิดของบรรดานักกิจกรรมกลุ่มแนวร่วมชุดดำ
พวกเขาคิดอะไร เชื่ออะไร และทำไมจึงทำเช่นนั้น ? แน่นอน วิถีปฏิบัติของแนวร่วมชุดดำย่อมขัดแย้งกับแนวทางสันติวิธี พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์สันติวิธีว่าอย่างไร ? โปรดทำใจไว้ก่อนว่า นี่คือคำพูดของนักกิจกรรมระดับรากหญ้า พังค์ และฮิปปี้ตัวเหม็นที่ไม่ค่อยอาบน้ำ ไม่เคยเรียนหรือเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ไม่มีสัมมาคารวะหรือมารยาท
แต่มีวิสัยทัศน์ถึงสังคมอุดมคติและลงมือปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาจะเป็นนักรบหรือเป็นตัวแสบก็ตามที
แต่ที่แน่ๆ พวกเขาไม่ใช่พวกมือถือสากปากถือศีล
****