นาฬิกาตีบอกเวลาห้าโมงเย็นเป็นอันเลิกงานวันนั้น
*
หนึ่งวันหลังเกิดปรากฏการณ์ร้องห่มร้องไห้เสียดายห้างในเมืองหลวงของประเทศที่ปิดไม่รับพนันแล้วว่าระยำกว่าที่คุณคิดหรือไม่ หนุ่มสาวหน้าใสชาวไทยฝรั่งกลุ่มเล็กราวสิบคน กับป้าผู้ซึ่งหน้าตาเริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกสองสามคน ไปยืนเกาะกลุ่มกันตรงหน้าสถานทูตไทยในดงผู้ดีละแวกสถานทูตต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน พวกเขาไปตามข้อความนัดหมายที่บังเอิญเปิดเจอในเฟซบุ๊ค ขอให้ไปรวมตัวส่งเสียงประณามมาตรการกระชับรูปาก ขอปลิดชีวิต (คืน) ของรัฐบาลไทย การชุมนุมขนาดเล็กกระจ้อยร่อยจนน่าใจหายงวดนี้ ผู้จัดออกตัวว่ามีเวลาเตรียมการและกระจายข่าวทางอินเตอร์เน็ตเพียงสองวันเท่านั้น แต่ตัดสินใจลุยไปก่อนเนื่องจากมิตรในเมืองไทยติดต่อขอร้องให้ช่วยรีบเร่งจัดการชุมนุมเล็กๆ ขึ้นมาก่อนก็ได้ เพื่อหวังให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ชาวต่างชาติรับรู้ถึงภาวะอัปยศที่กำลังเกิดขึ้น
*
พวกเราไปยืนชูป้ายที่ผู้จัดทำมาเผื่อ อันมีข้อความดังเช่น Democracy by the Ballot Box not Bullets พร้อมร้องขานสโลแกนสองสามท่อนซ้ำไปซ้ำมาอย่างกระท่อนกระแท่น สโลแกนที่ซักซ้อมกันสดๆ ตรงนั้นมันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน ชวนให้นึกย้อนไปถึงเมื่อเกือบสิบปีก่อนตอนที่ชาวลอนดอนนับแสนออกมาโห่ร้องตะโกนสาปแช่งขับไล่ผู้นำที่ได้รับสมญานามว่าเป็นไอ้หมากระเป๋า เก่งนักเก่งหนาในการลอยหน้าลอยตายืนยันความมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมของตน นำประเทศกระโจนเข้าร่วมสงครามอิรักกับไอ้ลิงลมด้วยเหตุผลตอแหลทั้งเพ มันเทียบกันไม่ได้เลยกับการประท้วงคราวนี้ เสียง What do we want ? Democracy ! When do we want it ? Now ! ดังขึ้นอย่างกระมิ้ดกระเมี้ยนน่าขัน สลับกับเสียงขานสโลแกน The people united shall never be defeated ซึ่งหนุ่มอังกฤษผู้เป็นธุระจัดชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นปึกแผ่นกับมิตรชาวไทยครั้งนี้ ต้องคอยขานนำปลุกระดมแนวร่วมใหม่เอี่ยมของเขา ที่ปราดตาดูแล้วคงสรุปได้ว่าพกกันมาแต่ใจทั้งนั้น และน่าจะเป็นพวกบ้องแบ๊วในแง่ประสบการณ์ภาคสนามกันเป็นส่วนใหญ่
****