นิยายธิเบต

หนังสือแปลเล่มนี้มีลายเซ็นเจ้าของ และระบุว่า “คุณป้าลาวัณ โชตามระ มอบให้ พ.ศ. 2531” หนังสือหนา 140 หน้า อบ ไชยวสุ แปล นิยายธิเบตฉบับนี้มิได้พิมพ์เพื่อจำหน่าย เพราะในหน้าคำนำบอกไว้ว่า หนังสือเล่มนี้เคยจัดพิมพ์มาแล้วโดย ทองใบ พูลโภคา พิมพ์ถวายสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาพิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เพื่อทรงแจกในงานพิธีเปิดตึกเรียน “แม้นนฤมิตร” ที่พระองค์ร่วมกับบรรดาขุนนางบริจาคทรัพย์สร้างเมื่อ พ.ศ.2438 ทั้งผู้แปลผู้พิมพ์ก็เป็นทั้งศิษย์เก่าและครูเก่าของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ผู้เขียนคำนำได้อ่านหนังสือเรื่องนี้แล้วมีความพอใจ จึงให้จัดพิมพ์ขึ้นใหม่เพื่อเป็นของชำร่วยในงานต่างๆ ของตน จำนวน 5,000 เล่ม โดยติดต่อผู้แปลผ่านทางพระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ลงชื่อผู้เขียนคำนำว่า พลเอก ชวลิต – คุณหญิงพันธ์เครือ ยงใจยุทธ 14 มีนาคม 2531

พอเห็นชื่อ “ธิเบต” พลันวันดาก็หวนรำลึกถึงของสิ่งหนึ่งที่ได้รับเป็นของขวัญของฝากจากผู้ใหญ่ในสยามท่านหนึ่ง เป็นผ้าเนื้อนุ่มบาง สีไข่ไก่ มองดีๆ จะเห็นตัวอักษรและลวดลายธิเบตในผืนผ้า ท่านบอกว่าองค์ทะไลลามะประทานให้ ต่อมาวันดายังโชคดีได้ไปชมการแสดงของชาวธิเบตในเมืองหลวงของไทยแลนด์นี้เอง และยังจำได้ว่าพวกเขาซึ่งมาจากหลังคาโลกที่อากาศหนาวเย็นตลอดเวลา พอลงมาทำการแสดงในเมืองร้อน ที่แม้จะอยู่ในอาคารติดแอร์ ก็ยังทำเอาพวกเขาเหงื่อชุ่มไปตามๆ กันทั้งหญิงชาย

คนทั่วไปรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ ว่า ธิเบตถูกจีนควบรวมประเทศ จนองค์ผู้นำทางจิตวิญญาณต้องลี้ภัยออกไปต่างประเทศ (ในเดือนมีนาคม 2554 องค์ทะไลลามะทรงประกาศขอพ้นหน้าที่ทางการเมือง โดยให้คนรุ่นใหม่ได้ทำงานสืบต่อไป)

กลับมาที่ นิยายธิเบต วันดาแน่ใจว่ายังไม่เคยอ่านมาก่อน ฉะนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าว เธอจึงเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ และแน่นอนว่าการสะกดอักษรในสมัยนั้นย่อมแตกต่างกับปัจจุบัน เช่น มุกด์ มรกด พระยานาค ข้าพะเจ้า พระมะเหษี ฯลฯ

เรื่องนำ: เจ้าชายผู้ทรงปรีชา

เริ่มต้นที่พระเจ้าข่าน ผู้ครองอาณาจักรธิเบต มีราชโอรสสองพระองค์ องค์พี่ทรงเฉลียวฉลาด องค์น้องทรงพระโง่ องค์น้องถูกเด็จพ่อส่งไปเรียนวิชาอยู่ในถ้ำกับเวทยาจารทั้งเจ็ด ความจริงพวกเวทยาจารย์ก็แค่จะเอาเขาไว้เป็นลูกมือเวลามีพิธีกรรมเท่านั้น

7 ปีผ่านไป องค์พี่ได้เสด็จไปดูน้อง และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้นจึงพาน้องกลับ ระหว่างทาง องค์พี่อยากทดลองอะไรบางอย่าง จึงบอกให้น้องแยกทางไปยังโรงม้าเก่า บอกว่าที่นั่นมีม้าขาวตัวหนึ่ง ให้น้องนำไปขายและนำเงินกลับมา โดยกำชับว่าอย่าได้ขี่ม้าไปทางที่อยู่ของเวทยาจารย์ทั้งเจ็ดเป็นอันขาด

แต่องค์น้องทำสิ่งตรงข้ามกับที่รับปาก จนถูกเวทยาจารย์เสนอซื้อม้าเอาไว้ เพราะรู้ว่าองค์พี่แปลงกายเป็นม้ามาลองวิชาพวกตน จึงคิดจะฆ่าเสีย

ทำเอาองค์พี่ต้องแปลงกายหลบหนีอยู่หลายคราจึงพ้นไปถึงถ้ำของโยคีนาครคุณ เจ้าชายเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ว่ากำลังมีภัยคุกคาม และบอกโยคีว่าเดี๋ยวจะมีคนแก่แต่งชุดขาวมาเคาะประตู…แล้วพระองค์ก็นัดแนะกับโยคีว่าจะทำอย่างไรต่อไป

และก็เป็นจริงดังที่เจ้าชายบอก ชายแก่ทั้งเจ็ดเมื่อเข้ามาในถ้ำได้ก็ออกปากขอลูกประคำของโยคี เพราะรู้ว่า
เจ้าชายกลายร่างเป็นลูกประคำไปแล้ว โยคียินยอม แต่หลังจากที่ตัดเชือกร้อยประคำก่อนแล้ว ลูกประคำส่วนใหญ่จึงหล่นลงพื้นกลายเป็นหนอนยั้วเยี้ย ยกเว้นประคำลูกใหญ่ยังติดอยู่กับเชือก เวทยาจารย์ทั้งเจ็ดรีบแปลงกายเป็นไก่จิกกินหนอน เพราะคิดว่าเจ้าชายอาจจะเป็นหนอนตัวใดตัวหนึ่ง แต่พอประคำลูกสุดท้ายร่วงลงพื้น ก็กลายเป็นเจ้าชายปรากฏกายพร้อมดาบในมือ

ไก่ทั้งเจ็ดที่ไม่ใช่ลูกไก่ จึงถูกสับตายทั้งหมด

เหตุการณ์ทำท่าว่าจะหมดเรื่อง เพราะพระเอกฆ่าผู้ร้ายได้ แต่โยคีบอกว่าเจ้าชายไม่ควรทำลายชีวิตผู้อื่น ควรจะหาทางออกโดยละม่อม เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าพระองค์มีใจกรุณาอยู่เสมอ ก็จะเป็นกษัตริย์ผู้ประเสริฐในวันหน้า

เจ้าชายคิดได้ก็เสียใจที่ได้กระทำการผิดศีลลงไป พระองค์จึงขอรับใช้และขอเรียนวิชาอยู่กับโยคี

โยคีนาครคุณได้เล่าถึงวิธีหนึ่งที่จะทำให้บ้านเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุขให้เจ้าชายฟัง และเราจะได้ฟังไปพร้อมกับเจ้าชาย ว่าคนแต่บรรพกาลเขามีหลักคิดอย่างไร เขาทำประชานิยมหรือเปล่า หรือทำประชาวิวัฒน์แบบไหน หรือ…

โยคีเล่าถึงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ชื่อ สิทธิกูร ร่างท่อนบนเป็นทอง ท่อนล่างเป็นมรกต ศีรษะคล้ายมุกเม็ดโต สวมมงกุฎเพชร หากสัตว์วิเศษตัวนี้ตกไปอยู่บ้านเมืองใด ก็จะเป็นมงคลแก่บ้านเมือง ราษฎรมีสติปัญญา เศรษฐกิจสมบูรณ์

เจ้าชายจึงขอให้โยคีแนะนำการไปนำสิทธิกูรตัวนี้มา โยคีก็ได้ให้คำแนะนำต่างๆ รวมทั้งมอบเครื่องมือพร้อมเสบียงวิเศษแก่เจ้าชาย โดยมีข้อเตือนครั้งสุดท้ายว่า เมื่อเจ้าชายแบกสิทธิกูรขึ้นบ่าแล้ว ห้ามพูดอะไรแม้แต่คำเดียว จนกว่าจะกลับมาถึงถ้ำของโยคี

อือ… ช่วยไม่ได้ที่วันดาจะคิดถึงจันทโครบ เพราะพระองค์เปิดผอบพบนางโมราระหว่างกลางป่า ผิดคำที่ให้ไว้แก่พระเจ้าตา เหตุร้ายจึงเกิดขึ้น แล้วนี่เจ้าชายจะเจออะไรๆ ที่คล้ายจันทโครบบ้างไหม

เจ้าชายเดินทางไปไกลมาก ระหว่างทางได้ผ่านพบภูตผีปีศาจต่างๆ นานา แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ด้วยของวิเศษที่โยคีมอบให้ กระทั่งพบสัตว์ประหลาด สิทธิกูร

พอสิทธิกูรถูกจ้องมอง มันกลับหลังหัน วิ่งหนีขึ้นต้นมะม่วงไม้ผลต้นโปรดของมันไป แล้วหันมาหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าชาย เจ้าชายบอกให้เจ้าตัวประหลาดลงมาซะดีๆ ไม่งั้นต้นมะม่วงจะถูกฟันทิ้ง

ได้ผล มันยอมลงมาแต่โดยดี แล้วเจ้าชายก็แสดงรายการให้ดูว่าตนมีของวิเศษอะไรบ้าง สิทธิกูรจึงยอมให้จับใส่กระสอบแต่โดยดี

การเดินทางของเจ้าชายเริ่มต้นด้วยความราบรื่น แต่ระยะทางนั้นยาวไกล สิทธิกูรขอให้เจ้าชายเล่านิทานให้ฟังแก้ละเหี่ยใจสักเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้ผล เพราะเจ้าชายยังจำคำของโยคีได้ว่าห้ามพูด

ระหว่างเดินทางกลับ สิทธิกูรจึงหาทางใหม่ บอกว่าถ้าเช่นนั้นก็ขออนุญาตเล่านิทานให้เจ้าชายฟังแล้วกัน หากอนุญาตก็ขอให้ผงกศีรษะ – สำเร็จ !

เอ… ลีลาแบบนี้ วันดาชักตะหงิดๆ ว่าคล้ายจะเคยอ่านมาก่อน แต่ว่า… นิยายธิเบต ยังไม่เคยอ่านนี่นา เออน่า… อ่านไปก่อนแล้วกัน