การร่วมเพศในสายเลือด การฆ่ากันในครอบครัว การฆ่าเด็กหลังจากเมื่อพระร่วมเพศ

ในปี 2006 ในหมู่บ้าน Roccalumera อันแสนสงบเงียบ ใกล้เมืองเมสสินา (Messina) บนเกาะซิซีลี ประเทศอิตาลี หลวงพ่อ Carmelo Mantarro วัยเจ็ดสิบ ได้ก่อคดีฉาวคาวโลกีย์ คือมีสัมพันธ์สวาทกับแม่ชีวัยสามสิบเก้า ครั้นแม่ชีไปพบหลวงพ่อเริงสวาทอยู่บนเตียงกับสาวที่แต่งงานแล้ว ความโกรธทำให้เธอจุดไฟเผาม่าน โซฟา จากนั้นก็วิ่งลงไปคว้าดาบกลับขึ้นห้องเพื่อไปฆ่าผู้ทรยศให้ตาย แต่โชคดีที่พระคนอื่นๆ เข้ามาหยุดไว้ได้ทัน จากการสอบสวน แม่ชีอ้างว่าหลวงพ่อได้บังคับให้เธอไปทำแท้งแล้วถึงสองครั้งในรอบสี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุได้ว่าที่ผ่านมาหลวงพ่อได้ร่วมประเวณีกับหญิงมาแล้วกี่คน และอีกสักเท่าใดที่ต้องไปทำแท้ง การรักษาพรหมจรรย์ทั้งในโลกของคนธรรมดาและโลกของพระนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับวิถีชีวิตของพระแล้ว นี่เป็นหนทางที่บ่งบอกถึงศักดิ์ศรีและความพิเศษของการเป็นพระด้วย

การร่วมเพศนอกสถาบันการแต่งงานและการทำแท้ง เป็นปัญหาสำคัญของสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่และนับสายเลือดผ่านผู้ชาย เพราะสำหรับผู้หญิงแล้ว ยังไงๆ เด็กในท้องก็เป็นลูกของเธออยู่ดี แต่สังคมที่นับสายเลือดผ่านผู้ชายทำให้ผู้ชายไม่มีความมั่นใจในตัวผู้หญิงและลูกในท้องว่าตกลงแล้วเป็นลูกของตนหรือไม่ การประเดิมผู้หญิงเป็นคนแรกจึงเป็นกลไกสำคัญของสังคมนับสายเลือดผ่านผู้ชายในการรับประกันว่าลูกในท้องเป็นสายเลือดของตน

โลกคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัดเรื่องเพศ แต่ไม่สามารถจัดการให้ผู้คนอยู่ในศีลธรรมได้นั้น ก็พยายามมานับพันปีที่จะให้สายเลือดของผู้ชายมีความแน่นอน แต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆ ความเคร่งครัดที่ว่านี้เป็นรูปธรรมมากขึ้นภายหลังการประชุมในที่ประชุมคริสตจักร ณ เมืองเทรนท์ (Council of Trent, 1545-63) ซึ่งกำหนดให้การแต่งงานมีความเคร่งครัดรัดกุมมากขึ้น ควบคุมผู้หญิงและร่างกายของผู้หญิงในฐานะกลไกของการมีลูกมากขึ้น ตลอดจนห้ามการมีนางสนมกำนัล กล่าวอย่างง่าย การร่วมเพศที่ถูกต้องต้องเป็นการร่วมเพศในสถาบันการแต่งงานเท่านั้น

รัฐมีก็มีส่วนสำคัญในการขยายอำนาจการควบคุมดังกล่าว การเน้นหลักการที่ให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ได้รับสืบทอดทรัพย์สินและตำแหน่ง อันเป็นประเพณีที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในศตวรรษที่ 16 ยิ่งมีส่วนทำให้รัฐและศาสนจักรต้องร่วมมือกันควบคุมความประพฤติทางเพศนอกสถาบันการแต่งงาน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงตามกฎหมายได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้หญิงที่จะใช้ “จับ” ผู้ชายสูงศักดิ์ ซึ่งย่อมส่งผลต่อเรื่องมรดก ขณะที่ความสัมพันธ์ทางเพศข้ามชนชั้นและข้ามศาสนาก็กลายเป็นปัญหาสำคัญขึ้นมา

ประวัติศาสตร์ระดับจุลภาค (microhistory) ซึ่งศึกษาจากคดีความหลายกรณีตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ที่นำเสนอไว้ในหนังสือ Nefarious Crimes, Contested Justice: Illicit Sex and Infanticide in the Republic of Venice, 1557-1789 ของ Joanne M. Ferraro ทำให้เห็นถึงเรื่องราวของการต่อสู้ในระดับชีวิตประจำวันของผู้คนในระดับต่างๆ ตลอดจนโครงสร้างสังคมของยุโรปที่คริสต์ศาสนาเคร่งครัดมากในเรื่องการร่วมเพศนอกสถาบันการแต่งงาน แต่ทั้งรัฐและศาสนจักรกลับไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุม แม้จะมีหนังสือคู่มือการตรวจสอบว่าใครร่วมเพศกันท่าไหน ท่าร่วมเพศนั้นเป็นท่าที่ถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่ ร่วมเพศกับคนที่เป็นญาติพี่น้องหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะมีข้อห้ามและการตรวจสอบขนาดไหน ชีวิตมนุษย์ก็มิได้ดำเนินไปตามหลักของคริสต์ศาสนาแต่อย่างใด