Who’s Afraid of Art, Artists, and the Art World

เมื่อมองย้อนกลับไปแบบปลอดฉันทาคติ ภายในหนึ่งปีอันแสนโดดเดี่ยวที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้สร้างงานศิลปะสำเร็จไปหลายชิ้นด้วยกัน ไม่นับงานหรือโครงการที่ยังคั่งค้าง ทั้งค้างในขั้นตอนการผลิตและขั้นตอนการฝันเฟื่อง รวมทั้งอะไรต่อมิอะไรเบ็ดเตล็ดที่ข้าพเจ้ายังไม่มีอารมณ์จะนับว่ามันควรจะนับหรือไม่นับ
*
ผลงานศิลปะด้อยโอกาสเหล่านี้ยังไม่มีโอกาสปรากฏสู่สายตาสาธารณชนคนแปลกหน้า ยกเว้นช่างไฟกับช่างกำจัดปลวกที่ได้ประสบพบเห็น ‘work of art’ ของข้าพเจ้าในต่างกรรมต่างวาระต่างชิ้นและต่างตำแหน่ง แต่กลับถามข้าพเจ้าด้วยประโยคเดียวกันว่า “ไอ้นี่มันอะไรอ่ะพีี่่ ?”
*
เป็นเรื่องยากเสมอที่จะอธิบายผลงานอันล้ำลึกและซับซ้อนของเราที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ อ๋อ, มันคือ “…” ข้าพเจ้าเฉลยแล้วหักเหความสนใจของช่างไปสู่ประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับสถานการณ์ไฟรั่วและบริเวณที่ควร
ฉีดน้ำยา
*
นอกจากตัวงานจะยอกย้อน บริบทแวดล้อมก็ย้อนแย้ง การสร้างงานมาสเตอร์พีซแล้วซ่อนไว้หรือทำลายทิ้ง เป็นเรื่องที่ไม่ใคร่มีใครทำบ่อยๆ ข้าพเจ้าเคยโชว์ผลงานชุดหนึ่งให้เพื่อนกับญาติสนิทเจ้าเก่าดู แต่จะเรียกว่า “โชว์” ก็ไม่เชิง ข้าพเจ้าเพียงแต่เปรยขึ้นมาว่าข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นห้อง รวมทั้งฝุ่นและขี้จิ้งจกที่พวกเธอกำลังตำหนิอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า “รก” และ “สกปรก” นั้น ความจริงแล้วเป็นงานศิลปะแบบ Conceptual Art จำพวก Installation ส่วนการที่วันนี้ข้าพเจ้าเชิญพวกเธอ (และคนอื่นๆ ในวันอื่นๆ) มาช่วยทำความสะอาดบ้าน เป็นโครงการศิลปะแบบ Participatory Art หรือจะเรียกว่า Relational Art ก็ไม่ผิดใจกัน แต่ถ้าพวกเธอเกิดโมโหเกรี้ยวกราดแล้วขว้างปาสิ่งของไปโดนกระจกแตก แหกปากลั่น มันอาจจะเข้าข่าย Performance Art และหากข้าพเจ้าบันทึกความเคลื่อนไหวในห้องด้วยอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เราก็อาจจะได้ Video Art เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้
*
ณ จุดที่ศิลปินและผู้ชมงานกำลังยืนอยู่ มีความไม่แน่นอนทางการเมืองของศิลปะเกิดขึ้นอย่างแน่่นอน ข้าพเจ้ากล่าวเตือนแขกรับเชิญตามอัธยาศัยเจ้าบ้านที่ดี
*
เลิกหวังได้แล้ว สมัยนี้การมีมารยาทไม่จำเป็นว่าจะต้องได้สิ่งเดียวกันกลับคืนมา คู่กรณีทั้งสองประกาศอย่างไม่เกรงใจกันว่าทุกอย่างที่เห็นและที่ข้าพเจ้าคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะประเภทเดียวที่เป็นไปได้และพอจะมีสติสัมปชัญญะคือ The Art of Cleaning ข้าพเจ้าพยายามอธิบายอย่างอดทนว่า การทำความสะอาดเฉยๆ ไม่ใช่ศิลปะ (พวกหล่อนหยาบคายมากที่มาเล่นโวหารแบบนี้) แต่ถ้าทำความสะอาดตามที่ข้าพเจ้าสั่งถึงจะเป็น พวกเธอเถียงทันควันที่ออกจากหูว่า การทำความสะอาดเป็นศิลปะย่ะ แต่ถ้าให้ทำตามโครงการบ้าบอนั่นไม่มีทางใช่แน่นอน ข้าพเจ้าเถียงกลับว่า ใช่สิจ๊ะ ถ้ามันเหมือนจะยังไม่ใช่ ก็เพราะบริบท ไม่ใช่ตัวมันเอง ถ้าห้องนี้สถิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ มีภัณฑารักษ์เอื้ออาทร มีสูจิบัตรเป็นเรื่องเป็นราว มีสื่อออกข่าว มีนักวิจารณ์เขียนถึง หรือมีคอนเน็คชั่นดีได้ไปจัดแสดงในเทศกาลศิลปะเมืองนอก มันก็จะถูกสถาปนาให้เป็นงานศิลปะอย่างเป็นทางการห้าร้อยเปอร์เซ็นต์ มีพยานหลักฐานมัดแน่นหนา ไม่ปล่อยให้คนดูงานศิลปะไม่เป็นมาด่าว่าฉอดๆ อย่างงี้หรอก แต่ว่าตอนนี้มาช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูให้สะอาดก่อนเถอะ บ้านเมืองต้องเดินหน้า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน แล้วค่อยอภิปรายประเด็นปลีกย่อยต่อทีหลัง
ทีนี้เนื่องจากพวกเรายังมีไอเดียเกี่ยวกับศิลปะไม่ตรงกัน จึงขอให้ยึดมั่นหลักการของแต่ละฝ่ายไปพลางๆ ก่อน ข้าพเจ้าไม่บังคับใครให้คิดเหมือนกันพูดเหมือนกันเชื่อเหมือนกันคลั่งเหมือนกัน โง่เหมือนกันแบบคนไทยปัญญาอ่อนหรอก เราคิดต่างแต่อยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นทุกคนก็ทำงานศิลปะตามที่ตัวเองเชื่อ พวกเธอจงทำ Art of Cleaning ไป อุปกรณ์เตรียมไว้ให้แล้ว ส่วนข้าพเจ้าก็จะทำ Conceptual-Participatory-Relational Art ด้วยการนั่งดูและเป็นกำลังใจ…
*
ฟื้นฝอยขึ้นมาแล้วก็น่าเจ็บใจเหมือนเป็นรอยด่างทางเกียรติประวัติ โปรเจกต์ศิลปะของข้าพเจ้าโปรเจกต์นี้ดำเนินไปอย่างไม่ราบรืื่่นนัก เต็มไปด้วยขวากหนามจากคนกันเอง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของงานชิ้นเอกที่กระตุ้นให้เกิดการทะเลาะ ทิ่มแทง และถลกหนัง ท้ายที่สุดผู้ชมงานศิลปะทั้งสองก็บีบบังคับให้ข้าพเจ้าผู้เป็นศิลปินต้อง participate และสร้าง relation กับพวกเธอด้วย ซึ่งเท่ากับเปลี่ยน Idea เป็น Skill เปลี่ยน Artist เป็น Laborer ข้อเสนอนี้ผิด concept ของข้าพเจ้าไปไกลแบบให้อภัยไม่ได้เลยทีเดียว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลองดีกันทางวิชาอาคม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะถนอมน้ำใจกัน กับแอบเสียดายทักษะเชิงปฏิบัติการของทั้งสองคน ข้าพเจ้าไม่มีทางยอมแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!
****