เรื่องของพลอย ตอนที่ 2

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 10 กรกฎาคม 2562 – Facebook

เป็นคนติดคุกไปคลอดลูกมันก็จะมีอะไรที่พิเศษกว่าคนปกติหน่อย

ที่ขามีโซ่ล่าม มือถือของเตรียมคลอดที่เตรียมไว้เอง สวมชุดนักโทษนั่งท้ายกระบะรถเรือนจำ โครตทรหดอ่ะ

เริ่มจากห้องแรก ห้องทำความสะอาดร่างกาย พยาบาลเข้ามาวัดความดัน เปลี่ยนชุดที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สวนก้น เข้าห้องน้ำขับถ่ายของเสีย ไม่ว่าจะอยู่อากัปกิริยาไหน ในมือของฉันก็ต้องนำพาถุงและโซ่ที่ล่ามไว้ไปด้วยตลอดเวลา ถึงแม้ตอนนั้นฉันจะปวดและทรมานแค่ไหน ฉันก็ยังต้องถือสองสิ่งนี้ไว้ในมือ เม็ดเหงื่อที่ท่วมตัว เลือดที่กำลังไหลออกจากช่องคลอด ขาเเข้งที่เริ่มสั่นจากความปวด ฉันก็ยังต้องเอาเจ้าสองสิ่งที่ติดตัวมาเดินไปขึ้นเตียงเพื่อให้พยาบาลเจาะเลือดให้น้ำเกลือ พยาบาลเข็นเตียงฉันไปที่ห้องห้องหนึ่ง แล้วพูดว่า นอนรอที่ห้องนี้แหละ แล้วเดินออกไป ทิ้งฉันและเจ้าหน้าที่ของเรือนจำไว้

ในความคิดฉันตอนนั้น นี่มันไม่ใช่ห้องรอคลอดนิ! มันเป็นห้องเก็บของชัดๆ

แต่เวลานั้นมันก็ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะถามเจ้าหน้าที่หรือพยาบาล เพราะฉันรู้ว่าฉันมาในฐานะนักโทษที่กำลังจะคลอดลูก พวกเขาพาออกมาคลอดที่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ถ้าถามอะไรออกไปคงไม่ได้คำตอบที่ดีกลับมาแน่นอน ฉันนอนอยู่บนเตียงได้ประมาณห้านาที ก็เริ่มปวดท้องถี่ขึ้น จนต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ขอให้เขาเรียกพยาบาลและเอาพันธนาการที่ติดตัวมาออก เจ้าหน้าที่ไปเรียกพยาบาล แต่พยาบาลกลับเดินมาบอกให้รออยู่ตรงนี้ เขาบอกว่าฉันยังไม่คลอดง่ายๆหรอก ช่องคลอดเปิดไม่กี่เซนติเมตรเอง ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงชิงพูดก่อนที่พยาบาลจะทิ้งฉันไว้

“ลูกคนนี้คนที่สามค่ะ ที่ผ่านมาเวลาคลอดลูก ช่องคลอดไม่เคยเปิดถึงเก้าเซนเลยค่ะ”

พยาบาลเดินกลับมาเอาเสาน้ำเกลือและพาฉันไปยังห้องคลอด ฉันที่ดีใจและโล่งใจ แต่ทุกอย่างมันก็กลับมาแย่อีกครั้ง ภายในห้องคลอดมีเตียงที่กำลังจะคลอดอีกหนึ่งเตียง ข้างๆ ฉันมีผู้ทำคลอดสองคน ในเวลานั้นฉันไม่ได้สนใจหรือคิดอะไรทั้งนั้น ฉันอยากจะคลอดอย่างเดียว มันไม่ไหวแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศรอบๆ ….ห้องคลอดอะไรเงียบขนาดนี้ …

ในขณะที่ฉันพร้อมที่จะถูกทำคลอด แต่ผู้ทำคลอดยังคงพูดแดกดันกับประวัติการรักษาที่ติดตัวฉันไป ฉันตอบทุกคำที่ถาม แม้บางคำถามฉันอยากจะใช้อารมณ์โมโหทั้งหมดตอบกลับไปอย่างที่เขาใช้อารมณ์ถามมา แต่ฉันยังคงนิ่งรักษามารยาทและให้เกียรติสถานที่

ฉันดิ้นทุรนทุรายมือทั้งสองข้างเกาะอยู่บนหัวเตียงเพราะข้างเตียงของฉันไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ แถมเตียงส่วนท้ายก็ขยับออก ถ้าไม่หาที่ยึดฉันต้องดิ้นหล่นจากเตียงเพราะอาการเจ็บท้องคลอดเป็นแน่ ผู้ทำคลอดเดินมาดูฉันและพูดว่า

“อีกนานอ่ะ อยากเบ่งก็เบ่งไป เบ่งให้มดลูกและช่องคลอดมันอักเสบไปเลย ยังไงก็ยังไม่คลอด”

ฉันส่งเสียงให้แรงตัวเองเหมือนตอนที่คลอดลูกสองคนก่อนนี้ มันเป็นเสียงธรรมดาที่สุด เสียงที่ส่งพลังในการคลอดไม่มีทางจะดังขนาดที่จะกลายเป็นเสียงรบกวนได้ แต่สิ่งที่ตามมาคือฉันถูกตวาดอย่างดัง

“ห้ามใช้เสียง”

ฉันถึงกับงง ฉันแค่ส่งเสียงว่า.. ฮึ้บบบบ ! มันดังมากขนาดนั้นเลยรึ คนทำคลอดถึงกับต้องห้ามให้ฉันงดใช้เสียง แล้วยังพูดอีกว่าขอให้ได้ยินแค่เสียงลมหายใจ

พอพูดเสร็จคนทำคลอดก็เดินจากไป ทิ้งคำถามหนึ่งไว้ในใจฉัน เพราะฉันมาในฐานะนักโทษรึเปล่าฉันถึงต้องเจออะไรแบบนี้ ? แล้วความคิดมันก็ค้านกันเอง นักโทษไม่ใช่คนรึไง แล้วผู้ทำคลอดไม่มีคำว่าจรรยาบรรณอยู่ในหัวใจซักนิดเลยสิ ถึงฉันจะมาในฐานะนักโทษ แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะคนไข้ที่รอการรักษาจากคุณอยู่นะ ทุกอย่างโต้ตอบกันอยู่ได้แค่ในความคิดของตัวเอง

ฉันมั่นใจว่าฉันต้องคลอด และนี่ก็คือลมเบ่งของฉัน แต่ผู้ทำคลอดกลับบอกให้รอ และไม่แสดงทีท่าว่าจะเดินมาดูคนไข้อย่างฉันเลย ฉันปวดจนทนไม่ไหว คิดในใจว่าไม่ทำคลอดให้ซักทีใช่ไหม เออ! ฉันทำคลอดตัวเองก็ได้ !! ฉันรวบรวมพลังจนลมเบ่งมาอีกครั้ง ฉันเบ่งของฉันเอง นับจังหวะเอง ครั้งแรกผ่านไป ฉันเบ่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันต้องร้องหาหมอ เพราะถ้าเบ่งรอบนี้ฉันว่าหัวลูกฉันต้องออกมาแน่ๆ และลูกของฉันมีสิทธิตกเตียงได้

คนทำคลอดเดินมาพร้อมกับถุงมือยางข้างเดียว คงเพราะคิดว่ายังไงเด็กก็ยังคงไม่ออก แต่ตรงกันข้าม หัวลูกโผล่ออกจากช่องคลอดของฉันพอดี คนทำคลอดใช้มือข้างที่ใส่ถุงมือถ่างช่องคลอด จนหัวลูกของฉันโผล่พ้นออกมา ฉันเบาปวดลงบ้างขณะนั้น สักครู่ก็มีลมเบ่งอีก เบ่งคราวนี้มาทั้งตัว คนทำคลอดเอาลูกมาไว้บนหน้าอกฉันพร้อมสายสะดือและก็พูดว่า “ดูซะผู้หญิงหรือผู้ชาย” แล้วเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดสายสะดือ

ทุกอย่างดำเนินมาด้วยความเงียบ ฉันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกผิดที่ทำคลอดให้ฉันอย่างนั้นจากเขาเลย ไม่มีคำถามถึงความรู้สึกของฉันจากผู้ทำคลอดแต่อย่างใด มีแต่คำถามที่เกิดในใจของฉัน ฉันมาคลอดที่โรงพยาบาลเพื่อแลกกับการต้องแจ้งเกิดลูกที่ 33/3 เท่านั้นเองใช่ไหม? เพราะในความคิดฉัน นอกจากความสำคัญของสถานที่เกิดในใบแจ้งเกิดลูก ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่ต่างจากการเกิดในเรือนจำเลยสักนิด การคลอดลูกในเรือนจำก็เป็นแบบนี้ หรืออาจจะดีกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เด็กจะได้รับคือในใบแจ้งเกิดจะขึ้นสถานที่เกิดเป็น 33/3 หรือเป็นที่รู้กันว่าทัณฑสถานหญิงกลาง แต่ถ้าเด็กคลอดที่โรงพยาบาล ในใบเเจ้งเกิดจะขึ้นสถานที่เป็นโรงพยาบาลที่เราคลอด ความต่างมีแค่นี้ในความคิดฉันตอนนั้น

ในเวลานั้นฉันคิดได้แค่นั้น ฉันไม่ได้คิดถึงร่างกายตัวเองเลยซักนิด จนหมอบอกถึงน้ำหนักตัวลูก  3,490 กรัม ฉันก็กลับมาคิดถึงช่องคลอดฉันทันที !! ถึงเวลาเย็บแผล ฉันคอยมองตลอดว่าหมอถืออะไรมาบ้าง ใช้เครื่องมืออะไรกับร่างกายฉันบ้าง

ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น …

จะเอาอะไรมากล่ะ ขนาดตอนคลอดยังใช้ค่าสองนิ้วเท่านั้น

สรุปว่าเย็บสด ไม่ฉีดยาชา ฉันก็ทนนะ ไม่ร้อง แต่พอเข็มแทงเข้าเนื้อที่เพิ่งระบม ฉันก็สะดุ้ง แทงทีสะดุ้งที มือเท้าจิกเตียงเกร็งไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ท่าไหนเพราะมัวแต่เกร็ง ได้ยินเสียงหมอพูดว่า

“หอย จะจิ้มหน้าหมออยู่แล้วค่ะ”

ฉันถึงรู้สึกตัวว่าก้นฉันแอ่นตามเข็มจนมันกระดกขึ้นไปสูงพอสมควร

หมอพูดอีกว่า “งั้นแผลที่เหลือรอให้มันสมานกันเองแล้วกัน หมอไม่เย็บให้แล้ว” ถอดถุงมือและเดินจากฉันไป

หมอทำคลอดฉันด้วยสองนิ้ว และ เย็บปากมดลูกให้ฉันครึ่งๆ กลางๆ

ฉันนอนจมกองเลือด รู้ว่าเลือดเลอะขึ้นมาถึงบริเวณขอบเสื้อใน พยาบาลมาเปลี่ยนชุด เปลี่ยนเตียง และทำความสะอาดบริเวณที่ทำคลอด เข็นฉันออกมาจากห้องคลอดมาทิ้งบริเวณทางเดิน แล้วนำลูกมาให้

ลูกฉันไม่ได้อาบน้ำหรือล้างตัว ทางโรงพยาบาลแค่เอาผ้าเช็ดเลือดและไขที่ติดตัวออกเท่านั้น และนำลูกมาส่งให้ฉันที่เตียง ฉันนอนอยู่กับลูกบนเตียงเพื่อรอสังเกตุอาการตกเลือด สักพักก็ได้ยินเสียงจุ๊บๆๆๆ เหมือนดูดอะไรสักอย่าง เจ็บแผลก็เจ็บ กลัวก็กลัว ไม่มีคนเดินผ่าน มีแต่ยุงบินว่อน เสียงนั้นก็ยังไม่หาย ฉันกลั้นใจพยุงร่างลุกขึ้นมานั่ง มองรอบๆ มองลูก และแล้วฉันก็เจอเจ้าของเสียงจุ๊บๆๆๆๆๆๆ

ลูกฉันนอนดูดนิ้วโป้งอยู่ในผ้าที่ห่อตัว 55555…เค้าคงหิ้วนม แต่ฉันไม่มีนมให้ลูกกิน น้ำนมไม่ไหลและนมผงก็ไม่มี เจ้าตัวเล็กดูดนิ้วจนหลับไป ไม่ร้องงอแง

การเฝ้าดูอาการตกเลือดผ่านไปด้วยดี ฉันถูกเข็นออกมาพักฟื้นกับคนทั่วไป แต่เป็นคนคุกก็ต้องมีอะไรที่แหวกออกไปอยู่แล้ว เตียงฉันถูกเข็นมาไว้ปลายเตียงของคนทั่วไป พร้อมกับใส่กำไลข้อเท้า ใกล้ๆ กันกับฉันมีเจ้าหน้าที่สองคนถือกระบองเฝ้าดูฉันอย่างใกล้ชิด ฉันได้กินข้าวมื้อเช้าวินาทีนั้นการรีบทำอะไรให้เสร็จแล้วล้มตัวลงนอนคงจะดีที่สุดสำหรับฉัน ฉันไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมามองใครเพราะ หนึ่ง อายกับความแตกต่างของตัวเองด้วยข้อเท้าที่ล็อกไว้กับปลายเตียง สอง กลัวว่าคนอื่นจะเดินมาคุย แล้วเจ้าหน้าที่จะหาว่าเรา “ตีโบก” หรือส่งซิก ทางที่ดีคือนอนลงไปรอเวลา ฉันต้องรอให้น้ำเกลือหมดถึงจะกลับเรือนจำได้ วันนั้นเป็นวันที่ฉันอยากกลับคุกที่สุดเลย เลือดที่ไหลจนถ่วมถึงหัวมันเลอะเทอะไปหมด คนที่มองเราด้วยสายตาที่แบ่งแยกและอยากรู้ ทำให้ฉันอยากกลับไปอยู่ในที่ของฉันให้เร็วที่สุด

พอน้ำเกลือหมดก็ต้องเปลี่ยนชุดกลับเรือนจำ เจ็บแผลก็เจ็บ อายก็อาย ต้องเอาชุดหลวงที่ใส่มาเมื่อคืนใส่กลับไป ทั้งเหม็นทั้งยับ คนทั้งโรงพยาบาลมองกันไม่ละสายตา ของก็ต้องถือเอง ลูกก็อุ้มเอง แล้วก็เดินไปขึ้นรถเอง ไม่มีรถเข็น ถึงมีรถเข็นก็ไม่มีคนเข็นอยู่ดี ส่วนใหญ่คนที่มาคลอด ถ้าคลอดปกติ รอแค่น้ำเกลือหมดก็กลับเรือนจำ แต่ถ้าผ่าคลอดจะประมาณสองถึงสามวันถึงจะได้กลับ

แต่ไม่ว่าจะกลับตอนไหน ความอับอายก็จะยังอยู่กับเรา เพราะแค่เราใส่ชุดนักโทษก็อายแล้ว เหมือนแกะดำในฝูงแกะขาว มันถูกแบ่งแยกโดยอัตโนมัติ จะอายมากอายน้อยก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่พาเราไปวันนั้นด้วยว่าเขาจะปฏิบัติกับเราแบบไหน ว่าเขาจะเมตตาเราแค่ไหนกัน ขอแค่เวลานี้ผ่านไปเร็วๆ รีบกลับไปให้ถึงประตูเรือนจำ ที่ที่ปลอดภัยจากการแบ่งแยกเร็วๆ ซะที