เรื่องของพลอย ตอนที่ 3

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 15 กรกฎาคม 2562 – Facebook

พอกลับจากไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล เย็นวันเดียวกันนั้นฉันได้กินยาพาราสองเม็ดที่ผู้ช่วยงานเรือนจำขอจากพยาบาลมาให้ หลังจากวันนั้นก็ไม่มียาให้กินอีก ฉันพักฟื้นอยู่ที่สถานพยาบาลของเรือนจำสองวัน แล้วก็ถึงเวลาต้องเริ่มใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนผู้ต้องขังคนอื่นๆ ฉันกลับมานอนที่ห้อง 8 เรือนเพทายตามเดิม

สถานะของฉันเปลี่ยนจากคนท้องมาเป็น “แม่ลูกอ่อน” ตอนนั้นลูกสาวตัวน้อยเหมือนจะไม่ดื้อ ฉันตั้งชื่อลูกสาวว่า “ใบตอง”

ฉันเริ่มเปิดกิจการนวดทันทีโดยที่ร่างกายผ่านการคลอดลูกมาเพียงแค่ 6- 7 วัน ถึงร่างกายฉันจะไม่พร้อม แต่ใจฉันพร้อมมาก ในตอนนั้นฉันคิดว่าลูกฉันยังเล็ก ฉันใช้เวลานี้เก็บหอมรอมริบได้ เพราะลูกยังคงใช้เวลากับการนอนมากกว่าที่จะตื่นมาก่อกวน

ส่วนแผลของฉันที่คุณหมอเย็บไว้ให้แบบครึ่งๆกลางๆ ช่างเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของฉันเหลือเกิน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหมอเย็บไว้ถึงไหนและส่วนไหนที่คุณหมอบอกว่าให้รอมันสมานกันเอง จะถ่ายหนักก็กลัว จะถ่ายเบาก็แสบ

แต่เวลานี้ฉันกลับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเจอเป็นปัญหาใหญ่หลวงต่อการดำเนินชีวิตในคุกของฉันเลยสักนิด อาจเป็นเพราะเจ้าตัวน้อยที่นอนรอฉันอยู่ในที่ของเค้า .. ช่างน่ารัก

ฉันใช้เวลาหลังจากขึ้นขังเปิดกิจการนวด วันหนึ่งจะนวดได้แค่สามคนเท่านั้น บางวันก็อาจจะไม่ถึง เพราะหมอนวดในห้องมีเพิ่มขึ้น ฉันเองก็มีเจ้าตัวเล็กที่ไม่สามารถจะกะเกณฑ์ได้ว่าจะงอแงขึ้นมาตอนไหน บางครั้งลูกค้ามาเรียกไปนวด แต่ลูกสาวดันงอแงขึ้นมา ฉันก็ต้องปฏิเสธไป ลูกค้าก็จะไปเรียกใช้บริการจากคนอื่นแทนเพื่อให้เราดูแลลูก ทำให้บางช่วงบางวันขาดรายได้ไปบ้าง

ฉันมีเพื่อนหนึ่งคนที่สนิทมาก ทุกวันนี้ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ ผึ้งกับฉันมีวิถีชีวิตเหมือนกัน คือ วิถีคนไม่มีญาติ ต้องรับจ้างทำทุกอย่างเพื่อลูกและตัวเอง ฉันกับผึ้งเป็นบัดดี้ที่ดีต่อกันมากๆ ผึ้งรับจ้างซักผ้า ฉันจะไปช่วยผึ้งซักผ้าทุกวัน ส่วนตอนกลางคืนผึ้งจะเป็นคนดูแลลูกให้ฉันตอนที่ฉันไปนวด เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ แต่เราช่วยสนับสนุนกันและกันเพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเราทั้งคู่

ฉันเริ่มหันมารับจ้างซักผ้าเพื่อจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ฉันกับผึ้งมีความคิดตรงกันคือ ข้าวของของลูกสำคัญที่สุด ต้องหาเก็บไว้ให้มากที่สุด ในที่ที่อะไรก็ไม่แน่นอนและสำหรับคนไม่มีญาติอย่างฉันกับผึ้ง ของของลูกบางอย่างเช่น แพมเพิร์ส จึงจำเป็นต้องมีเก็บไว้ให้มากๆ เพราะมันไม่มีขายในเรือนจำ จะมีได้ก็เฉพาะคนที่มีญาติและญาตินำมาฝากไว้ให้เท่านั้น ตามจำนวนจำกัดที่เรือนจำกำหนดคือ 100 ชิ้นต่อสัปดาห์ บางทีฉันกับผึ้งก็ไปทำเวรที่ทางห้องเด็กจัดให้ เราจะต้องทำความสะอาดทั้งวันเพื่อแลกกับแพมเพิร์สห้าชิ้นที่ทางห้องเด็กแจกให้

สำหรับฉันกับผึ้ง การหาซื้อแพมเพิร์สจากแม่ลูกอ่อนด้วยกันในราคา 10 ชิ้น 150 บาท เป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่วนนมผงนั้น ถึงแม้ในร้านค้าจะมีขาย แต่ฉันกับผึ้งก็ไม่มีปัญญาซื้อได้หรอก เพราะเราไม่มีเงินใน “บุ๊ค”  เราจึงใช้แรงแลกกับนมลูก ด้วยการให้ลูกค้าที่เรารับจ้างซักผ้าให้ มาซื้อนมให้เราแทนค่าจ้าง

การใช้ชีวิตในคุกแบบไม่มีญาติแต่มีลูกติด มันไม่ง่ายเลย เพราะเรากับลูกไม่ได้อยู่ในคุกแค่วันหรือสองวัน แต่เราต้องอยู่ด้วยกันเป็นปี

ฉันปลื้มใจมากๆที่มีเพื่อนอย่างผึ้ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้เผชิญด้วยกัน มีอยู่วันหนึ่งฉันยังไม่ได้กินอะไร แต่ก็จะต้องไปดูผ้าที่ตากไว้กลางแดดร้อนๆก่อน พอกำลังจะแยกกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ฉันบอกผึ่งว่าถ้าหิวก็กินก่อนเลยนะ เพราะตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉันกับผึ้งยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันทั้งคู่ ฉันจึงรู้ดีว่าบัดดี้ฉันน่าจะหิวเหมือนกับฉัน

พอผึ้งจัดการกับเด็กๆเสร็จแล้วก็ฝากเพื่อนอีกคนไว้  ผึ้งเดินถือลูกชิ้นไปหาฉัน “กูหิว แต่กูอยากกินพร้อมๆมึง” ผึ้งบอก ฉันหยิบลูกชิ้นกินพร้อมกับเดินดูผ้าไปด้วย ฉันห่วงว่าผ้าจะไม่แห้งและจะส่งให้ลูกค้าไม่ได้ มากกว่าจะสนใจนั่งกินลูกชิ้นกับผึ้ง ขณะที่ผึ้งนั่งกินลูกชิ้นโดยที่ตะโกนเรียกฉันเป็นระยะให้มานั่งกินพร้อมๆกัน ระหว่างนั้นก็มีทั้งเพื่อนและคนรู้จักเดินผ่านมาขอกินลูกชิ้นกับผึ้ง ผึ้งไม่ปฏิเสธตามนิสัย แต่จะคอยเรียกให้ฉันมากินเสียงไม่ขาด  ฉันจะตอบลับไปว่า “เดี๋ยว!! กินก่อนเลย”

จนกระทั่งลูกชิ้นหมด เพื่อนที่นั่งกินอยู่กับผึ้งก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง ผึ้งลุกขึ้นด่าและทำหน้าหงุดหงิดโวยวายใส่ฉัน “อีเหี้ย เอามาให้กินก็ไม่รีบกิน เด๋วๆๆๆอยู่นั่นแหละ เป็นไง ไม่ได้แดก คนอื่นแดกหมด” ฉันงงนิดหน่อยแต่ไม่โกรธที่ผึ้งด่าหรือบ่นฉันเลย ออกจะขำอากัปกิริยาที่ผึ้งแสดงออกเวลาที่โมโหฉันมากกว่า

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นถ้าผึ้งถืออะไรมาให้กิน ฉันก็จะกินก่อนเลยเพื่อความสบายใจของเพื่อน ส่วนผึ้งเองถ้ามีใครมาขอกินอะไรที่ผึ้งเตรียมไว้ให้ฉัน ผึ้งจะปฏิเสธแบบไม่แคร์อีกฝ่ายเลย และจะบอกทุกคนว่าเก็บไว้ให้ฉันกิน “พลอยมันยังไม่ได้กินอะไร” กลายเป็นประโยคติดปาก

คนที่เจอกันในนั้นคอยเป็นห่วงเป็นใยกันได้ขนาดนี้ จนได้เป็นเพื่อนกัน ในสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอเรื่องดีๆ แต่ฉันยังมีความโชคดีติดตัวมาอยู่บ้าง

ฉันรับจ้างแบบนี้จนลูกสาวตัวน้อยอายุได้หนึ่งเดือน แต่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว ฉันก็ยังต้องทำมันต่อไป

น้องใบตองเริ่มจะไม่ยอมนอนอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา และนางก็ถือตัวแต่เด็กไม่ยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่านางรู้หรือสัมผัสจากอะไรว่าใครคือคนคุ้นเคย ใครคือคนแปลกหน้า คราวนี้ฉันก็ต้องมากังวลเรื่องความประพฤติของลูกสาวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

อาชีพหมอนวดเริ่มทำรายได้น้อยลง ฉันจึงรับจ้างซักผ้าเพิ่มขึ้น ฉันกับผึ้งรับจ้างซักทุกอย่างไม่ว่าผ้าเด็กผ้าผู้ใหญ่ การรับจ้างซักผ้าเด็กจะได้ค่าตอบแทนอาทิตย์ละห้าสิบบาท และคนจ้างต้องซื้อของให้คนรับจ้างซักทุกเดือน ซึ่งมีผงซักฟอกห่อละสิบบาทจำนวนห้าห่อ น้ำยาซักผ้าเอสเซนส์สองถุง น้ำยาปรับนุ่มตามแต่ใจชอบของแม่ลูกอ่อนที่จ้าง ว่าอยากให้ผ้าของลูกตัวเองหอมนุ่มแค่ไหน แต่การซักผ้าเด็กจะมีการจำกัดจำนวนผ้าที่ส่งเช่น ผ้าขนหนูผืนใหญ่ผืนเล็กไม่เกินสองผืน, ผ้าอ้อมสี่ผืน, ชุดเด็กสามชุด, ถุงมือถุงเท้าอย่างละสามคู่ ต้องส่งผ้าไม่เกินจำนวนนี้ต่อหนึ่งวัน นี่คือข้อกำหนดการรับจ้างซักผ้าเด็กที่กลุ่มแม่ลูกอ่อนตั้งกันขึ้นมา

แต่ฉันกับผึ้งไม่เคยจำกัดจำนวนผ้าเหมือนกับแม่ลูกอ่อนที่มีวิถีชีวิตรับจ้างคนอื่นๆ ฉันกับผึ้งคิดแค่ว่าซักหมด ส่งครบ ก็พอ และนี่เองที่ทำให้ฉันกับผึ้งอยากจะมีมือเท้าแบบทศกัณฑ์ จะได้ทำอะไรทันกับเวลา เราไม่เคยมีเวลาเหลือที่จะได้นั่งพัก จะพักได้ก็ต่อเมื่อขึ้นเรือนนอนและลูกต้องหลับแล้ว ด้วยเวลาแต่ละช่วงที่บีบคั้น ฉันกับผึ้งต้องสปีดตัวเองให้ทัน เราจึงแบ่งหน้าที่กัน ถ้าฉันไปดูผ้า ผึ้งจะเป็นคนดูเด็กๆ อาบน้ำ เตรียมนมและพับผ้าเด็กส่ง ส่วนฉันจะไปคอยกลับผ้าที่ตากไว้ที่ราว หรือถ้าหน้าฝนก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ผ้าแห้ง

ซักผ้าว่ายากแล้ว แต่การตากผ้าให้แห้งยากกว่า เพราะผ้ากับราวในคุกมันไม่สมดุลกัน การตากผ้าในตอนเช้าเหมือนกับการเอาผ้าไปห้อยที่ราวให้น้ำหยดเท่านั้น ไม่มีช่องให้ลมผ่าน ผ้าจะตากติดๆกัน มีระยะห่างต่อไม้แขวนไม่ถึงครึ่งเซนติเมตร ฉันมีเวลาทำให้ผ้าทั้งหมดแห้งแค่หนึ่งชั่วโมง  หนึ่งชั่วโมงที่หลายคนในคุกใช้เวลาไปกับการกินข้าวเที่ยง นั่งพักผ่อน เข้าร้านค้า บางคนก็ใช้เวลานี้ไปสื่อสารกับเพื่อนๆในเเดน และรอเวลาเข้าทำงานในช่วงบ่าย

แต่หนึ่งชั่วโมงของฉันอยู่กับผ้าที่รับจ้างชักกลางแดดร้อนๆ

จำนวนผ้าที่เรารับจ้างซักต่อหนึ่งคนได้แก่ ชุดหลวง (คือชุดนักโทษของเรือนจำ) ชุดนอน เสื้อใน กางเกงใน และสุ่มอาบน้ำอีกสองตัว ทั้งหมดประมาณแปดถึงสิบชิ้นต่อคน ฉันกับผึ้งรับจ้างซักเกินสิบคน เท่ากับว่าวันหนึ่งๆ ฉันจะต้องซักผ้าและทำผ้าให้แห้งจำนวนเกือบร้อยชิ้น ทำแบบนี้วนไปทุกวัน

อยู่มาวันหนึ่ง เหตุการณ์ระทึกได้เกิดขึ้นกับฉัน หลังจากที่ฉันกลับมาจากการไปเก็บผ้าที่ราว เนื้อตัวของใบตองก็ค่อยๆ เขียวขึ้นๆ ตั้งแต่หัวลงไปถึงปลายเท้าต่อหน้าต่อฉัน ภาพที่เห็นตอนนั้นเหมือนศพเด็ก ฉันและคนรอบข้างต่างพากันตกใจ ฉันรีบวิ่งอุ้มลูกไปหาพยาบาลพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด

เหตุการณ์วันนั้น จนถึงขณะนี้ฉันยังจำมันได้ดี

ฉันอุ้มลูกวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉินของสถานพยาบาลพร้อมกับน้ำตาและเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ

ตอนนั้นเป็นเวลาพักเที่ยง ซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีใครอยู่บริเวณนั้นอยู่แล้ว พยาบาลและผู้ช่วยงานพากันแยกย้ายไปพักกินข้าวเที่ยงกันหมด ฉันพาลูกวิ่งวนไปวนมา เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ด้วยความกระวนกระวาย เพื่อหาใครซักคนที่จะช่วยลูกของฉันได้ คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันตกใจ จนเสียงเริ่มดังขึ้น จึงทำให้พยาบาลที่อยู่ในห้องพักเวรเดินออกมา ทันทีที่ฉันเห็นหน้าพยาบาล ฉันก็รีบบอกอาการของลูกให้คุณนนท์ พยาบาลประจำเรือนจำฟัง

“ช่วยลูกหนูด้วยค่ะ ลูกหนูอยู่ดีๆตัวก็เขียว ต่อหน้าต่อตาหนูเลยค่ะ” คุณนนท์รับลูกไปจากมือฉันและและพาไปที่ห้องฉุกเฉินทันที อาการของ ใบตองตอนนั้นทำให้ฉันใจไม่ดีเลย ตลอดเวลาที่ฉันอุ้มมาส่งให้พยาบาลจนถึงตอนนี้ที่ลูกอยู่ในห้องฉุกเฉิน ไม่มีเสียงร้องจากเค้าออกมาให้ฉันได้ยินเลยซักเแอะ ร่างกายก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ราวกับร่างไร้ชีวิต คุณนนท์เตรียมเครื่องมือเพื่อดูอาการของใบตอง และตอนนั้นมีผู้ช่วยงานกลับมาจากไปกินข้าวบ้างแล้ว จึงทำให้คุณนนท์มีคนคอยช่วยหยิบอุปกรณ์ และเดินไปมาเพื่อสอบถามอาการเบื้องต้นจากฉัน

คุณนนท์สงสัยว่าอาจจะมีอะไรติดอยู่ในหลอดลม จึงเริ่มการตรวจ ฉันได้ยินเสียงของลูกขึ้นมานิดนึง ใบตองร้อง แต่แค่แป๊ปเดียวเสียงก็เงียบไป ทันใดนั้นเอง คุณนนท์ก็อุ้มลูกฉันออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยอาการกระวนกระวาย

เหมือนกันกับฉัน

คุณนนท์แจ้งฉันว่า จะต้องส่งใบตองไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกโดยด่วน! และสอบถามถึงอาการก่อนหน้าที่ใบตองจะเป็นแบบนี้ พร้อมกับให้ฉันเซ็นชื่อลงในเอกสาร

ข้อความในเอกสารทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง.! ฉันยินยอมและจะไม่เอาผิดใดๆกับเรือนจำ หากลูกของฉันเสียชีวิต

คุณนนท์วิ่งออกไปทันที พร้อมกับเอกสารที่ฉันเซ็น มีเสียงตะโกนมาจากสถานพยาบาลหรือไม่ก็ส่วนปกครอง  ฉันก็ไม่แน่ใจว่าต้นเสียงมาจากทางไหน เพราะหูฉันอื้อ ตาฉันเบลอไปหมด เสียงนั้นบอกให้คุณนนท์รอทางเรือนจำทำเรื่องก่อน อย่าพึ่งอุ้มลูกฉันออกไป

คุณนนท์วิ่งไปพร้อมกับตะโกนตอบกลับต้นเสียงที่บอกให้คุณนนท์รอว่า

“ถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร นนท์จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง หนังสือทำเรื่องส่งเด็กป่วยออกโรงพยาบาลให้ส่งตามไปทีหลัง”

ฉันได้แต่ดูความเป็นไปตอนนั้นด้วยใจระทึก ในที่สุดลูกฉันก็พ้นออกจากประตูคุกไปพร้อมกับคุณนนท์

หลังจากที่ลูกออกไปรักษาที่โรงพยาบาล ฉันก็ทำได้แค่ภาวนาให้เค้าปลอดภัย จนกระทั่งเย็นของวันเดียวกันนั้นถึงมีข่าวจากเจ้าหน้าที่ส่วนปกครองว่าใบตองปลอดภัยและกำลังกลับ ให้ฉันเตรียมตัวรับลูก ฉันเก็บของ และรีบไปรอรับลูกมา

ทันทีที่เจอหน้าลูก น้ำตาฉันก็ไหล จนคุณนนท์ต้องปลอบ ฉันรีบถามถึงอาการที่เกิดกับใบตองทันที แต่คุณนนท์กลับหัวเราะและพูดว่าลูกฉันอยากออกไปนั่งรถเล่น… คำตอบที่ได้ทำให้ฉันถึงกับไปไม่เป็น

คุณนนท์เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ที่อุ้มน้องออกไป น้องไม่ร้อง แต่ตัวยังเขียวซีดอยู่ คุณนนท์พยายามเรียกน้องให้รู้สึกตัวตลอดเวลาจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล พอถึงก็รีบส่งตัวน้องให้คุณหมอดูอาการทันที หมอซักประวัติและอาการของน้องจากคุณนนท์และอุ้มน้องเข้าไปในห้องตรวจ สักพักก็เดินออกมาแล้วถามย้ำกับคุณนนท์ว่า “น้องเป็นอะไรนะคะ”? แต่ยังไม่ได้ทันได้ฟังคำตอบของคุณนนท์ หมอก็บอกว่า น้องไม่ได้เป็นอะไรนะมาโรงพยาบาลทำไม น้องแค่หลับ

“เมื่อกี๊คุณหมออุ้มเข้าไปในห้องตรวจ น้องตื่นพอดี ยิ้มให้หมอด้วย มากันทำไมคะ”

“น้องแค่หลับ” คำตอบของหมอทำให้คุณนนท์ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกับฉันในตอนนี้ ฉันรับลูกมาด้วยความโล่งใจและซึ้งในน้ำใจของคุณนนท์

สรุปว่าวันนั้นลูกฉันอยากนั่งรถเล่นจริงๆละมั้ง เจ้าใบตอง