เรื่องของพลอย ตอนที่ 4

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 – Facebook

หลังจากเรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ไม่นาน ชีวิตของฉันกับลูกก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก

วุ่นวายไปแล้วตั้งแต่ยังไม่คลอด จนตอนนี้พอคลอดออกมา ก็มาวุ่นวายเรื่องตั้งชื่อลูก

การตั้งชื่อลูกในเรือนจำช่างเป็นเรื่องแปลก แม่ลูกอ่อนทุกคนต้องเตรียมตั้งชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่คลอด ยังไม่รู้เพศของลูก ตั้งทั้งที่เราไม่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกเลย พอผลตรวจยืนยันว่าท้อง และทันทีที่เราถูกย้ายมาอยู่แดนส่วนปกครอง ทางฝ่ายบริบาลทารก หรือที่เรียกกันว่าห้องเด็ก ก็จะเรียกให้ไปตั้งชื่อลูกและขอเอกสารจำเป็นในการไปคลอดลูกและเเจ้งเกิด คือสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชนของเราและของพ่อเด็ก

กรณีที่เราไม่มีเอกสารของตัวเองติดตัวไป ทางเรือนจำจะทำเรื่องขอคัดสำเนามาให้ แต่ถ้าไม่มีเอกสารของพ่อเด็ก เราห้ามใส่ชื่อพ่อของเด็กลงไปเด็ดขาด ให้ระบุในเอกสารที่เรากรอกลงไปเลยว่า ไม่ปรากฏชื่อบิดา ซึ่งก็หมายความว่าในใบเกิดจะไม่มีชื่อพ่อเด็ก หรือที่พวกฉันชอบพูดกันว่า เด็กไม่มีพ่อ ต่อให้เรารู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก แต่ถ้าไม่มีเอกสาร ก็เเจ้งไม่ได้ เพราะเวลาที่เจ้าหน้าไปทำเรื่องแจ้งเกิด ทางสำนักงานเขตจะไม่ออกใบแจ้งเกิดให้ แล้วเด็กก็จะไม่ได้เเจ้งเกิด

สำหรับเจ้าใบตองนั้น ฉันเตรียมเอกสารมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในคุก การแจ้งเกิดจึงไม่มีปัญหา จะมามีก็ตอนตั้งชื่อลูกเนี่ยแหละ ที่ฉันตั้งโดยยังไม่รู้ความหมายของชื่อด้วยซ้ำ เพราะเวลาที่มีให้ตั้งชื่อนั้นน้อยมาก และตั้งได้แค่ครั้งเดียว ทำให้ฉันเตรียมตัวไม่ทัน ถ้าจะเปลี่ยน ก็ต้องไปเขกพื้น ห้าสิบทีแลกกับการเปลี่ยนชื่อลูก เฮ้อ

วันนั้นเป็น “วันทำการ” ที่ใครหลายๆ คนต่างกำลังเงี่ยหูฟังเสียงประกาศรายชื่อเยี่ยมญาติ ใกล้จะเป็นรอบสุดท้ายของเช้าวันนั้นเต็มที เวลาสิบโมงสี่สิบห้า หัวหน้าแม่ลูกอ่อนเตรียมขอเช็คยอดกับเจ้าหน้าที่ประจำเรือนนอน เพื่อจะไปพักกินข้าวบนกองเลี้ยงหรือทำกิจธุระส่วนตัว ก่อนที่จะไปดูแลลูกต่อจากพี่เลี้ยงในเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง หลังจากเช็คยอดเรียบร้อย แม่ลูกอ่อนแต่ละคนก็เแยกย้ายไปยังจุดมุ่งหมายของตัวเอง

ฉันยังไปทำงานรับจ้างของตัวเองไม่ได้เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่เขาอนุญาตให้เข้า-ออกราวตากผ้า ฉันกับผึ้งจึงมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือไปที่ราวสำหรับตากผ้าเด็กที่อยู่ทางด้านหลังของห้องเด็กซึ่งเคร่งครัดน้อยกว่า เพื่อเก็บผ้าเด็กที่ตากไว้มาพับ ก่อนจะไปจัดการกับกับผ้าเด็ก เราสองคนจะแวะไปแอบเกาะกระจกทางด้านหน้าของห้องเด็กและสอดส่ายสายตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อยที่อยู่ด้านในก่อนทุกครั้ง ถ้าเจ้าตัวน้อยทั้งสองหลับ ฉันกับผึ้งก็ทำงานรับจ้างได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าเด็กๆ ตื่น ผึ้งก็จะลงไปเก็บผ้าแค่คนเดียว ส่วนฉันจะคอยดูเด็กๆไว้ จนผึ้งมาผลัดมือฉันถึงจะไปทำงานของฉัน

ขณะที่ฉันกำลังมองหาลูกอยู่นั้น ก็เจอกับ “หัวหน้าห้องเด็ก” หญิงสูงวัยที่ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดระยะเวลา 13-14 ปีที่อยู่ในนั้น ฉันเรียกแทนตัวเขาว่า แม่ ด้วยความนับถือ และก็เป็นการเรียกตามคนอื่นที่เรียกกันต่อๆมา

แม่ กวักมือเรียกฉันเข้าไปในห้องเด็ก และถามฉันด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง แม่ถามฉันว่าได้เขียนจดหมายหรือฝากใครโทรไปหาญาติบ้างไหม ฉันซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว จึงตอบออกไปสั้นๆ ว่า “ฮึ” คำตอบของฉันมันสั้นจนไม่ได้ใจความ ทำให้คนฟังหัวเสียจนต้องใช้น้ำเสียงที่ดุขึ้นพูดกับฉันอีกรอบ คราวนี้ฉันตอบแบบจริงจังว่า ตั้งแต่คลอดลูก ฉันเขียนจดหมายกลับไปที่บ้านแค่ฉบับเดียว ฉันเขียนไปบอกว่าตอนนี้ฉันคลอดแล้ว ลูกของฉันเป็นผู้หญิง และฉันไม่เคยฝากใครโทรที่บ้าน สีหน้าของแม่ที่ฉันเรียกด้วยความเคารพนั้นเรียบเฉย ไม่ได้บ่งบอกว่าเชื่อ หรือไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด

สักครู่แกก็พูดเบาๆว่า งานเข้าฉันแล้วรู้ไหม ในตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร ฉันจึงยิ้มหยอกแก เพราะคิดว่าแกคงแกล้งอำฉันเล่น แล้วแกถึงได้เริ่มเล่าให้ฉันฟังว่า ญาติฉันมา “ตีเยี่ยม” และได้เจอ กับผอ.สถานพยาบาล ตอนนี้กำลังพูดคุยปรับทุกข์ทั้งน้ำตาอยู่กับผอ.ด้านหน้าเรือนจำ แกเล่าต่ออีกว่าญาติฉันพูดทำนองว่าฉันเรียกร้องให้ทางบ้านมาเยี่ยมบ่อยๆ เรียกร้องว่าฉันลำบากมาก ไม่มีนม ไม่มีแพมเพอร์สให้ลูกใช้ และญาติฉันก็อธิบายกับผอ.สถานพยาบาลว่าเหตุผลที่มาเยี่ยมฉันบ่อยๆไม่ได้ก็เพราะว่าตอนนี้ทางบ้านของฉันกำลังลำบาก มีหลานอีกสามคนที่ต้องดูแลไม่มีเวลาและเงินมากพอที่จะมาเยี่ยมฉันได้ พอจะขอรับลูกของฉันกลับไปดูแลที่บ้าน ฉันก็ไม่ยอมให้ คำอธิบายของญาติฉันทำให้ผอ.สถานพยาบาลต่อสายตรงเข้ามาที่สถานพยาบาล เพื่อหาข้อเท็จริงเกี่ยวกับฉันจากเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลที่มีหน้าที่รับผิดชอบแม่ลูกอ่อนและเด็ก แม่จึงถูกเรียกไปสอบถาม ในฐานะคนที่ดูแลแม่ลูกอ่อน แม่จะคุ้นเคยกับแม่ลูกอ่อนมากกว่าเจ้าหน้าที่ แกใช้ชีวิตอยู่กับแม่ลูกอ่อนทั้งวัน แกจึงรู้ว่าแม่ลูกอ่อนแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร และนั่นก็ทำให้แกพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด ฉันถึงกับงงจนวันนั้นต้องขอเเลกหน้าที่กับผึ้ง ในตอนนั้นอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นานๆจะมีญาติมาเยี่ยมกับเขาทั้งที ดันไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่คิด ความรู้สึกสับสนปนความน้อยใจที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาทางสีหน้าโดยไม่รู้ตัว จนคนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็น ต้องปรับอารมณ์ให้ได้ก่อนที่จะออกไปเยี่ยมญาตินะ เป็นคำแนะนำจากหัวหน้าห้องเด็กที่เดินมาตบบ่าฉันเบาๆ ฉันหันกลับไปยิ้มเจื่อนๆให้ก่อนจะหันมาเตรียมนม น้ำ ผ้าขนหนูที่จะต้องใช้ในห้องเด็กให้ลูกสาวกับหลานชาย และจัดการพาลูกกับหลานอาบน้ำ

ช่วงเวลาที่ฉันวุ่นวายอยู่กับเด็กๆทำให้ลืมอาการจิตตกไปได้พักหนึ่ง ฉันทำทุกอย่างเรียบร้อย ส่งเด็กๆเข้าห้องให้พี่เลี้ยง ฉันกำลังจะเดินกลับไปเจอผึ้งที่เรือนนอนเพทายเพื่อจัดของใช้ลูกที่จะนำเข้าไปใช้ในห้องมาวางรอให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เสียงประกาศเยี่ยมญาติรอบบ่ายก็เริ่มขึ้น และมีชื่อฉันจริงๆอย่างที่รอคอย เพื่อนๆที่รู้จักต่างดีใจไปกับฉัน ก็ใช่อ่ะสิ มันเป็นการเยี่ยมญาติครั้งแรกในรอบหนึ่งปีของฉัน ถ้าก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ไปรับรู้รับฟังอะไรมา ฉันก็คงจะดีใจแบบลิงโลดไปแล้วล่ะ แต่สิ่งที่ฉันได้รับรู้มาทำให้ฉันได้แต่ถอนหายใจ ฉันเดินเอื่อยเฉื่อยไปเก็บของลูกใส่ล็อกเกอร์ จนผึ้งต้องไล่ให้รีบไปเยี่ยมญาติและบ่นปนสะกิดฉันว่าชักช้าเดี๋ยวตกรอบก็กลับมาซักผ้าไม่ทันหรอก ทำให้ฉันคิดขึ้นได้จึงรีบกุลีกุจอโดยไว ฉันไม่ได้รีบเพราะอยากเจอญาตินะ ที่ฉันรีบเพราะฉันกลัวกลับมาซักผ้าตอนเย็นไม่ทันต่างหาก

ฉันไปลงชื่อออกเยี่ยมญาติ และรับสมุดเยี่ยมญาติกับเสื้อกั๊กสุดเท่ที่โต๊ะเยี่ยมญาติของเรือนนอน จากนั้นก็เดินมาที่ส่วนปกครองนั่ งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ ซักพักผู้ช่วยงานก็เรียกชื่อฉัน และให้ฉันเดินไปต่อแถวเพื่อ “ทายชื่อญาติ” ให้ถูกต้องและรับไม้ (ลำดับที่นั่ง) กับเจ้าหน้าที่

พอเจ้าหน้าที่ขานชื่อญาติ ฉันก็ตอบนามสกุลและความสัมพันธ์โดยอัตโนมัติ จากนั้นฉันก็เดินกับไปนั่งรอ จนกว่ารอบที่เข้าเยี่ยมก่อนหน้าฉันจะออกมา แล้วจึงจะมีผู้ช่วยงานเดินมารับรอบของฉันเข้าห้องเยี่ยม ฉันได้เยี่ยมในแดนเก่าซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับห้องเด็ก ฉันจึงไม่ต้องเดินไปอุ้มลูกมานั่งรอที่ส่วนปกครองก่อนเข้าห้องเยี่ยม แล้วผู้ช่วยงานก็เดินมารับพาเข้าห้องเยี่ยม ผู้ต้องขังที่เยี่ยมญาติรอบเดียวกับฉันลุกจากเก้าอี้เดินไปตั้งแถวตามลำดับไม้ที่ถืออยู่ในมืออย่างเป็นระเบียบ แล้วก็เดินตามผู้ช่วยงานไปยังห้องเยี่ยม

ก่อนจะถึงห้องเยี่ยม ฉันเดินแตกแถวออกมาเพื่อจะไปอุ้มลูกที่ห้องเด็กแล้วก็เดินตามเข้าไป ฉันอุ้มลูกเดินไปนั่งรอในช่องตามลำดับที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ระหว่างที่รอญาติตัวเอง ฉันก็มองผู้ต้องขังที่ญาติของเขาเข้ามาถึงก่อน ทันทีที่โทรศัพท์ถูกยกขึ้น ทุกคนรีบคุยรีบถามเพื่อจะใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่ากับการได้เจอหน้าและฟังเสียงของคนที่พวกเขารอคอย ถึงจะเป็นการเจอกันแบบมีกระจกกั้น แต่ฉันสัมผัสได้ว่าผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับฉันส่วนใหญ่ดีใจและอุ่นใจที่มีญาติมาเยี่ยมต่อให้บางคนจะร้องไห้ไปคุยไปก็เถอะ

ญาติของฉันที่กำลังเดินเข้ามา ก็คือพี่สาวฉันเอง ฉันโบกมือเป็นสัญญาณว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้ ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้น พี่สาวก็ถามถึงหลานก่อนเลย เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คลอดมาน้ำหนักเท่าไหร่ แสดงถึงความห่วงใยที่มีให้ฉันกับลูก ขณะที่พี่ฉันกำลังพูดอยู่นั้น ฉันก็ค่อยๆก้มหน้าลง ในใจฉันก็กำลังคิดว่าจะถามสิ่งที่คาใจฉันออกไปดีไหม จนเสียงพี่ฉันเงียบหายไปจากโสตประสาทหู ฉันถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มแบบเสแสร้งตอบพี่ฉันไปว่า “สบายมาก” “พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันกับลูกอยู่ดี ตอนนี้อะไรๆก็ลงตัวไปเยอะแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไร พี่ไม่ต้องห่วง ฉันหรอกนะ ฝากดูแลแม่ด้วย ฝากบอกแม่ด้วยว่าขอโทษ แต่ฉันไม่ได้ทำเหมือนอย่างที่แม่คิดนะ คราวนี้ฉันถูกจับเพราะความไว้ใจที่ฉันมีให้กับเพื่อน ฉันไม่ได้กลับไปยุ่งกับยาเสพติด แต่ฉันผิด ที่ฉันยังคบกับเพื่อนที่ยุ่งเกี่ยวกับมัน”

แล้วฉันก็ถามถึงแม่

“แม่สบายดีไหม ยังโกรธฉันอยู่รึป่าว ฉันอยากให้แม่มาเยี่ยมฉันซักครั้ง แต่ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันเข้าใจ…” เสียงฉันเริ่มสั่น มันเป็นประจำทุกครั้งที่ฉันต้องพูดถึงแม่ให้ใครฟัง มันเป็นความรู้สึกผิดที่ฉันมีต่อแม่

“แม่ไม่ค่อยสบาย เค้าไม่โกรธแกหรอก เค้ายังเคยพูดเลย…เป็นเพราะเค้าเลี้ยงแกไม่ดีแกถึงเป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องขอโทษ แกออกมาแกก็ไปขอโทษเค้าเองเถอะ” ฉันดีใจเมื่อพี่ได้ยินสิ่งที่พี่ฉันพูดออกมา ฉันไม่คิดจะถามอะไรต่อ เราจึงคุยเรื่องทั่วๆไปและทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดถึงเรื่องที่เกิดข้างหน้าเรือนจำ หลังจากบทสนทนาถามสารทุกข์สุขดิบถามถึงคนทางบ้านของฉันจบลง ฉันจึงชวนพี่ให้ดูใบหน้าลูกของฉันระหว่างรอให้เวลาเยี่ยมหมดลง หลังจากนั้นก็ฝากความคิดถึงกลับไปหาคนทางบ้าน ส่วนอีกฝ่ายก็บอกกับฉันว่าจะฝากเงินไว้ให้ใช้ 1,000 บาท ฉันได้ยินว่าจะฝากเงินให้ จึงรีบย้อนถามกลับไปว่าตัวเขามีใช้หรือเปล่า ไม่ต้องฝากไว้ให้ฉันกับลูกก็ได้ ฉันอยู่กันได้ไม่ต้องห่วง

และฉันได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “วันหลังไม่ว่างก็ไม่ต้องลำบากมาหรอก ไม่ต้องห่วง อยู่ได้” พร้อมกับรอยยิ้มก่อนเดินออกจากห้องเยี่ยม แล้วอุ้มลูกไปไว้ที่ห้องเด็กเหมือนเดิม

แม่รอถามฉันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันตอบไปว่า ฉันไม่ได้ถาม เขาคงอยากจะระบายมั้งเลยพูดออกไปแบบนั้น ฉันพูดกับแม่ว่า ฉันไม่รู้หรอกว่าเขา พูดเพราะอะไร ถ้าเป็นคนอื่นฉันอาจจะถามหาความจริง แต่นี่คนที่พูดคือคนในครอบครัวฉัน พูดออกไปก็ไม่ดี ฉันรู้ตัวฉันเองดีว่าฉันทำอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า แม่ไม่ได้ถามอะไรต่อ นอกจากจะพูดเตือน! พรุ่งนี้ปกครองอาจจะเรียก ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ทำใจก่อนจะขอตัวกลับแดน

พรุ่งนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

พลอยเดช