เจ้ามิใช่ร่วงสู่แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย

จันทน์กะพ้อต้นนั้นอยู่ด้วยกันมากี่ปีก็ไม่ทันได้นับ แต่พอย้ายนิวาสสถานแล้วไม่ทันตั้งหลักให้ดี หันไปดูอีกทีมันก็ถูกจับลงไปยืนต้นในดินหลุมอย่างเดียวดาย เดียวดายเพราะพื้นดินรายรอบนั้นกว้างกว่าวงรอบกระถางชื้นๆ เขียวตะไคร่ ที่มันเคยได้อาศัยอยู่ด้วยกันมากี่ปีก็ไม่ทันได้นับ

นับวันหลังจากนั้นมันก็มีแต่จะเปลี่ยนสีใบจากเขียวเป็นน้ำตาล ทีละใบ ทีละใบ ทีละใบ
แต่ไม่ยักร่วง

มิไยที่ใครๆจะบอกว่าอาการแบบนี้มีแต่แปลได้ว่ามันขาดใจลงแล้วสถานเดียว แต่นางผู้ไม่ยอมปลงใจก็ยังยืนยันความปักใจอย่างไม่สนใจวิทยาศาสตร์งมงายใดๆ ว่าเห็นไหม ใบที่เป็นสีไปแล้วมันกำลังค่อยๆ กลายจากน้ำตาลคืนกลับเป็นเขียว

นับสัปดาห์ผ่านไป ที่สุดก็ชัดว่ามันกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วทุกใบ แต่ยังยืนต้น
ที่จะร่วงลงบ้างสักสองสามใบก็เพราะนางนั่นแหละฉีดสายยางรดน้ำแรงเกินไปด้วยเป็นห่วงอย่างโง่ไม่หายว่ามันจะไม่สบายเพราะฝุ่นพิษเหมือนนาง

วิธีปลงใจสุดท้ายของนางคือบอกตัวเองว่าคุณลุงเจ้าของที่ดินผู้ล่วงลับท่านคงไม่ค่อยอยากจะตามใจให้นางเลี้ยงต้นไม้จำพวกฟูมฟายอย่างนี้ไว้ต่อไปสักเท่าไหร่

ฟูมฟายเพราะบทเพลงและนวนิยายที่ผูกชะตาของมันเข้ากับชะตากรรมของหญิงสาวตามตำรา บทเพลงที่นางฟังแล้วก็ต้องพยายามหลับหูหลับตาไม่คิดถึงความหมาย นางฝังใจแค่เพราะเคยมีคนบอกว่ามันเป็นชื่อเพลงที่คุณปู่ของนางมักจะเปิดฟังอย่างลำพัง นางแค่อยากรู้จักมันมากกว่าในบทเพลงและนวนิยาย นางแค่จะปลูกจันทน์กะพ้อเพราะคิดถึงคุณปู่ของนาง นางแค่อ้างคุณลุงเมื่อจะไม่ได้ปลูกต่อเพราะนางก็คิดถึงคุณลุง วันเวลาเหลือเพียงนับอีกไม่กี่นิ้วที่จะต้องคิดถึงใครอีกต่อไป

แต่ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาของการฟูมฟาย การฟูมฟายแปลว่าต้องมาคร่ำครวญเพื่อกลบเกลื่อนสาระสำคัญที่ไม่อาจเขียนออกมาได้ จึงต้องเอาโวหารแห่งความเดียวดาย ความแล้งไร้ ความหมดอาลัย และความเป็นบ้าเอาแต่นั่งน้ำตาไหลไหลไหลไหลไหล มาฉาบให้น่าเวทนา

เพื่อคนจะได้ลืมถามว่า ตกลงนางจะพูด หรือจะไม่พูดอะไร
ตกลงนางยังอยู่ดี หรือเป็นบ้า หรือจะตายเสียก็ไม่ตาย

—–

นางจำได้ว่าเมื่อแรกทำวารสารอ่าน นางตื่นเต้นเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดใช้ปากกาตื่นเต้น ว่าในที่สุดเราจะได้รับอาญาสิทธิ์ที่จะเขียนในสิ่งที่ลบด้วยยางลบง่ายๆ ไม่ได้

นางกระทั่งจะได้มีโอกาสขอให้คนที่ปกติแล้วจะไม่กล้าขออะไรเขา ช่วยเขียนอะไรให้
และนางยังมีสิทธิจะขอได้ด้วยว่าอยากให้เขาเขียนถึงอะไร
โดยปฐมฤกษ์ นางขอให้  นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนถึง “แผ่นดินของเรา” ของ “แม่อนงค์”
นางขอให้ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ เขียนถึง “ทุ่งมหาราช” ของ “เรียมเอง” โดยวิจารณ์ซ้อนบทวิจารณ์ของนิธิที่เคยเขียนถึงมาก่อนหน้า

และอะไรต่ออะไร

มานึกย้อนไปแล้วนางก็คิดได้ว่า ยังจะต้องฟูมฟายอีกทำไม
นางได้ทำในสิ่งที่น่าจะออกดอกผลได้มากกว่าการปลูกต้นจันทน์กะพ้อที่กี่ปีกว่าจะออกดอกได้ก็คงไม่ทันนับ
เพียงแต่ว่ามันก็ผ่านมาแล้วตั้งสิบปี มีสิ่งที่ควรจะ เขียน ถึง อ่าน ได้มากกว่านี้  แต่นางยังคงไม่มีแก่ใจ
นางมัวครุ่นคิดแต่ว่า ถ้าตัดเนื้อเพลงมาพินิจแค่ท่อนที่ว่า
“เจ้ามิใช่ร่วงสู่แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย”
จะแปลว่า ในที่สุดมันก็ยอมร่วง แม้จะมิใช่โดยง่าย
หรือจะแปลว่า อย่างไรเสียมันก็จะไม่ยอมร่วง

——

สุดท้าย นางก็ย้ายต้นจันทน์กะพ้อลงดินหลุมใหม่ – อีกหลุม
จากที่โดดเด่นอยู่หน้าบ้าน ก็มาอยู่ริมกำแพงเก่าข้างบ้านอย่างไม่สลักสำคัญแก่สายตาใคร
ให้มันยืนต้นสีน้ำตาลอยู่อย่างนั้น จะร่วงไม่ร่วงก็แล้วแต่ใจ
ลำพัง – คำนี้ช่างไพเราะกระไร – ในมุมเงียบๆ ที่ไม่ต้องคอยทนฝืนชื่นไว้เพื่อรักษาน้ำใจผู้ผ่านมาเห็น