นิทานการเมือง เรื่อง “จิตแห่งวิญญาณของนักปฏิวัติ”

ผลงานผ่านการคัดเลือก โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 3

ประเภทนิทานการเมือง หัวข้อ “การปฏิวัติที่ห่าม 2019 edition”

โดย D’engtawan

 

พระอาทิตย์ตกไปนานแล้ว ฟ้าใสที่ด้านนอกหน้าต่างเริ่มกลืนตัวดำมืด ไฟถนนหนทางเปิดสว่างขับไล่เวลากลางคืนที่มาเยือน เขาขยับตัวไปนั่งลงที่เก้าอี้ริมหน้าต่างทอดสายตามองออกไปยังเวิ้งฟ้าไกลลิบ ๆ จมดิ่งลงในความคิดคำนึงเพลินอยู่เพียงลำพัง ฉันเฝ้ามองชายหนุ่มวัยเกินเบญจเพสคนที่ฉันคุ้นเคยมาเนิ่นนานนี้อยู่อย่างเงียบ ๆ จวบกระทั่งเสียงนาฬิกาลูกตุ้มแขวนผนังได้ตีบอกเวลาทุ่มตรงฉันจึงตื่นจากภวังค์เอ่ยถามคำถามกับเขา

“คุณคะ คืนนี้… คุณจะออกไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าไหมคะ ลางที่เราอาจแวะรับประทานอาหารค่ำกันที่นั่นแทนการรับประทานมื้อเย็นที่บ้าน…” เขาขยับตัวเล็กน้อยแสดงให้รับรู้ว่าได้ยินประโยคถามของฉัน ฉันเดินเข้าไปเกาะไหล่มองผ่านข้ามศีรษะเขาออกไปเบื้องนอก ถนนทางด่วนพาดผ่านย่านชุมชนละแวกที่เราพักอาศัยอยู่ เส้นสายถนนซ้อนทับกันอย่างร่างแหหรือใยแมงมุม ด้านบนถนนมีรถราขึ้นแล่นสัญจรไปมาอย่างขวักไขว่ ลางที่ฉันก็ออกให้นึกสงสัยว่าคนเหล่านั้นพวกเขาจะไปแห่งหนไหนกัน เหมือนทุกคนมีเป้าหมายและต่างเดินทางมุ่งมั่นไปอย่างเร่งรีบ ซึ่งผิดจากเราสองคน เราที่เสมือนหนุ่มสาวผู้แตกต่างจากหนุ่มสาวอื่น ๆ ในสังคมยุคนี้

“ขอโทษนะ ผมไม่อยากจะออกไปไหนในคืนนี้ หรือว่าคุณจะอยากไปก็ได้นะผมตามใจคุณ…” ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่หันกลับมาทางฉัน ฉันบีบหัวไหล่เขาเบา ๆ “ไม่ดอกค่ะ ถามดูเผื่อคุณจะนึกอยาก ส่วนตัวดิฉันไม่คิดอยู่แล้ว และที่จริงอาหารมื้อค่ำนี้ดิฉันก็ได้เตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว ว่าแต่คุณหิวหรือยัง…”

เขาส่ายหัวเป็นคำตอบ “ผมอยากอยู่บ้าน รอฟังผลการประชุมสภานัดสำคัญนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ‘เรา’ ผมหมายถึงประชาชนราษฎรไทยก็จะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ฉันทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น เอื้อมมือไปเกาะกุมมือเย็นเฉียบของเขาบีบเบา ๆ ส่งถ่ายทอดความรู้สึกผูกพันผ่านไปถึง แล้วเอ่ยกล่าวขึ้น

“คุณยังใส่ใจอีกหรือคะ ไหนคุณว่ามันเป็นกติกาจากกรอบรัฐธรรมนูญที่ฉ้อฉลปล้นชาติ…”

“ก็ใช่ไง ร่างโดยคำสั่งของผู้เผด็จการรัฐประหาร เพื่อเจตนาสืบทอดอำนาจของพวกตัวต่อไป มันหาได้เป็นประชาธิปไตยอย่างที่ประชาชนคาดหวังไม่…”

“ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีทางชนะเลยหรือ…” ฉันถามกลับ “ไม่มีทาง เว้นแต่จะเกิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน หรือปลาอานนท์พลิกตัว…” เขาตอบแล้วหันมามองสบตากับฉันพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

“แล้ว…เช่นนี้ คุณก็ทราบผลอยู่แล้วนี่ว่าใครจะได้รับเลือกโดยสภาฯ ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี” ฉันลุกขึ้นฉุดมือเขาให้ลุกขึ้น “มาเถอะค่ะฉันเริ่มรู้สึกหิว ๆ แล้ว เรารับประทานอาหารไปพร้อม ๆ กับเปิดรับฟังการถ่ายทอดเสียงการประชุมไปด้วยดีกว่าไหมคะ…” ฉันเสนอ เขาไม่ขัดข้องกับข้อเสนอของฉัน เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตามฉันไปยังโต๊ะกลางห้องที่ฉันจัดเตรียมสำรับอาหารไว้

 

เสียงตุ้มนาฬิกาแกว่งไกวเป็นจังหวะดังอย่างสม่ำเสมอ และอึดใจต่อมามันก็ตีบอกเวลา 2 ทุ่มตรง ฉันได้ยินชัดเจนแต่ก็อดชำเลืองตาไปมองไม่ได้ ชายวัยกลางคนถอนหายใจเฮือกยกมือขึ้นเสยเส้นผมสีเทาที่ขึ้นแซมสลับสีดำ

“ยังจะยื้อเวลาไปอีก คืนนี้คงไม่ต่ำกว่าตีหนึ่งหรือเที่ยงคืน เราจึงจะรู้ผลการลงมติเลือกนายกแน่…” เขาพูดเนือย ๆ ตามวัยที่มากขึ้น ฉันเก็บสำรับอาหารไปยังห้องครัว ปล่อยให้เขาเพลิดเพลินกับการสูบไปป์ยาสูบ

“คุณช่วยอธิบายความดิฉันสักนิดได้ไหมคะว่าทำไมฝ่ายประชาธิปไตยจึงเลือกส่งคนหนุ่มขึ้นชิงตำแหน่งในครั้งนี้ คุณว่าเป็นคู่ปรับที่เหมาะสมเสมอเหมือนกันหรือไม่คะ…” ฉันส่งเสียงถามเขาไปถึงห้องรับแขก

“มันเป็นเกมการเมืองเชิงสัญลักษณ์” เขาเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ขณะที่ฉันเดินออกจากห้องครัวไปสมทบ “อย่างไรคะ”

“พ่อหนุ่มคนนั้น เขาประกาศตัวเป็นคนที่จะลงเล่นการเมืองเพื่อต่อต้านหรือคานอำนาจสกัดไม่ให้เผด็จการครองอำนาจ เขาว่าเขาจะนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตใหม่…”

“จริงหรือค่ะ ส่วนตัวคุณคิดว่าสิ่งที่พ่อหนุ่มคนนี้กล่าวอ้างประกาศอวดนั้นเป็นความจริงได้สักมากน้อยเพียงใด…” ฉันถามแทรกขณะที่เลื่อนจานผลไม้แกะเปลือกเรียบร้อยไปตรงหน้าเขา

“เพ้อฝัน คำโฆษณาชวนเชื่อ…” เขาตอบพร้อม ๆ กับถอดแว่นสายตาหนาเตอะออก หยิบชายเสื้อเชิ้ตขึ้นเช็ดคราบสกปรกและเหงื่อไคล “วิถีทางที่จะเอาชนะกับเผด็จการใช้คำพูดไม่ได้มันต้องต่อสู้ด้วยอาวุธปืน”

“ก็คนพวกนี้ไม่ใช่หรือที่เผาบ้านเผาเมืองต่อสู้มา…และนั่นกลับกลายเป็นช่องทางให้ทหารออกมายึดอำนาจอย่างชอบธรรม นัยว่าเพื่อคืนความสงบสุขของประชาชน”

เขานิ่งเงียบไป ฉันเลื่อนจานผลไม้ให้เข้าไปใกล้เขายิ่งขึ้น “กลไกที่จะใช้โลกล้อมประเทศไม่เป็นผลหรือคะในทรรศนะของคุณ…”

“หนทางที่จะยึดอำนาจให้กลับมาอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จใช่ว่ามีหนทางเดียว ผู้ฉลาดจะเลือกใช้หลาย ๆ หนทางที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา หรือใช้ไปพร้อม ๆ กันในคราวเดียว ก็ดูอย่างที่เจ้าหน้าที่ทูตของนานาประเทศได้ออกมาแสดงตัวเพื่อเป็นเกราะปกป้องพ่อหนุ่มคนนั้นเมื่อต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

“ดิฉันว่ากลไกนี้มันออกจะเป็นการทำลายรัฏฐาธิปัตย์ของชาติเรานะคะ” ฉันท้วง

“การรบเพื่อชัยชนะจำต้องเสียบางสิ่งให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นเป้าหมายหลัก” เขาหยิบแว่นตาหนาเตอะขึ้นสวม ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินสืบเท้าเนิบ ๆ ไปที่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองทอดสายตาออกไปภายนอก เหมือนกำลังเฝ้ามองหาสิ่งที่เคยมีแต่ได้สูญหายไปให้กลับคืน

 

เสียงการถ่ายทอดทางวิทยุสงบลงเมื่อฉันปิดเครื่องรับ เดินไปพยุงชายชราให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างหน้าต่าง เขาค่อย ๆ สืบเท้าก้าวเดิน มือเกร็งออกแรงยึดแขนฉันไว้ ทุก ๆ ก้าวขาเขาใช้ไม้เท้าช่วยค้ำพยุงอีกแรงหนึ่ง ร่างเขาไม่ใหญ่โตจึงไม่เป็นภาระให้ฉันต้องออกแรงประคองอย่างหนักกำลัง

“เขาชนะอย่างที่คุณคาดเดาจบกันทีไหมคะ” ฉันพาชายชราไปที่เตียงนอน เขาเอนกายลงนอนราบ ขณะที่ฉันคลีผ้าห่มออกคลุมจากปลายเท้าขึ้นมาถึงกึ่งกลางอก

“ยุติธรรมไหมคุณว่า…” ฉันถามซ้ำ

“อยากร้องหาความยุติธรรมกับการเมือง มันคือเกมของการแย่งชิงอำนาจ ในเมื่อยอมเข้าสู่กติกาแม้กติกามันจะบ้าบอ แต่เมื่อลงสู้ศึกแล้วก็ต้องรบ รบอย่างถึงที่สุดรบให้สุดแรง แต่ทว่าหากเพลี่ยงพล้ำไปก็ต้องยอมรับว่า ‘เรารบแพ้’ …และรอคอยจังหวะโอกาสข้างหน้าที่จะพลิกฟื้นกลับเข้าสู่สนามรบได้อีกคำรบหนึ่ง…” เสียงชายชราอ่อนล้าโรยแรงเสียงดังแผ่วผิวเหมือนสายลมเอื่อย

“หลับเสียเถอะค่ะ…อย่ากังวลอะไร หลับให้สบายเถิดคุณต่อสู้มายาวนานตลอดชีวิตแล้ว และดิฉันเชื่อว่าคุณจะยังคงต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อเพื่อฝันและอุดมการณ์ของคุณ หลับเถิดค่ะ…กุลิศ”

“ขอบใจ ฟาตีมะห์…”

สิ้นเสียงนั้น ฉันได้ยินเสียงลมหายใจทอดยาวและสม่ำเสมอ ฉันยืนดูร่างนั้นสักพักใหญ่ ๆ แล้วจึงถอยออกมาดับไฟห้องให้มืดลง แสงเดือนเพ็ญส่งกระจ่างเข้ามาทางหน้าต่าง ทาบลำแสงนวลไปบนร่างที่ทอดสงบสนิทนิ่งของนักรบผู้มีจิตแห่งวิญญาณของนักรบเพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มเปี่ยมนั้น

 

D’engtawan สำเร็จการศึกษาด้านการสื่อสารมวลชน ทำงานผลิตสื่อในทุกแขนงก่อนไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยบรรยายวิชาการนิเทศศาสตร์กว่า 28 ปี ปัจจุบันเป็นนักวิจัยและนักวิชาการอิสระ ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านไร่ถุงทอง อำเภอกำแพงแสน เจ้าของผลงานเขียน ‘บันได*ชิงช้า’ นวนิยายสั้น รางวัลประภัสสร เสวิกุล