จดหมายจากรัฐนี่

ผลงานผ่านการคัดเลือก โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 6

ประเภทผู้อาศัยอยู่ภายในราชอาณาจักรไทย

โดย ภูมิชาย คชมิตร

เกริ่นนำ

สงครามระหว่างรัฐยุคใกล้ เกิดภายหลัง เจ้าอาณานิคมผู้ดี ยักษ์ใหญ่ชาติตะวันตกได้เข้ามาปกครองดินแดนในภูมิภาคนี้ ในระหว่างที่เข้ามานั้นก็ได้นำความเชื่อความศรัทธา การเมืองร้อนแรง และการปกครองแบบแบ่งแยกแล้วปกครองเข้ามาด้วย นโยบายนั้นก่อให้เกิดความแตกแยกในดินแดน ภายหลังที่ยักษ์ใหญ่ผู้ดีได้เสื่อมอำนาจลงจึงทำให้เกิดสงครามระหว่างรัฐของกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐบาลกลาง

 

จดหมายจากรัฐนี่

คุณที่คิดถึง

คุณได้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางดังใจหวัง  การเขียนถึงคุณเป็นการทำเพื่อประชาชน ส่วนสิ่งที่คุณทำเมื่อตัดสินใจเดินทางนั้นเป็นการทำเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ทำเพื่อเยาวชนทุกคน และเพื่อสันติภาพ  ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าแม้แต่คุณก็คงจะเข้าใจได้ดีว่าเป็นการสำคัญ กว่าการเขียนถึงคุณมากนัก คุณทำเช่นนั้น นอกจากเป็นเพราะคุณเห็นว่า ผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว คุณยังเห็นว่าจะเป็นการทำที่ถูกใจคุณ ที่จะทำให้คุณปลาบปลื้มและรักคุณมากขึ้นอีกด้วย แน่นอนต้องเป็นเช่นนั้นเพราะคุณย่อมจะไม่รักคนที่ไม่คิดเหมือนคุณคิด ไม่ทำเหมือนคุณทำไม่ใช่หรือ ?  คุณเองเป็นคนที่ทำให้ ประชาชนก้าวหน้า คุณเองที่ทำให้ข้าพเจ้ามีจุดยืนเช่นนี้ คุณจำได้ว่าเดิมทีคุณก็เป็นประชาชนตามแบบเก่าๆ คนหนึ่งของเมือง โบราณหัวเก่า  ห่างไกลความก้าวหน้า ไม่ใช่ไม่ชอบอ่านหนังสือ  แต่ก็ไม่ใช่เก็บตัวอยู่กับบ้าน ซักผ้ากวาดบ้าน ถูเรือน ทำครัว และเย็บปักถักร้อย เตรียมตัวไว้ เป็นคู่ชีวิตของคนมีหน้ามีตาทางสังคม แต่ก็ไม่ใช่โลดโผนโจนทะยาน ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแต่งตัวตามรสนิยม ชอบออกนอกบ้าน เตรียมตัวไว้สำหรับเพื่อนชีวิตสมัยเรือดำน้ำที่เที่ยววิ่งประมูล หาเงินมาซื้อนาฬิกา ซื้อแหวนหรูหรา ราคาแพงลิ่ว อย่างที่เป็นกันเกร่ออยู่ในเมืองหลวงเวลานี้ คุณเป็นคนหนึ่งแบบที่ชอบคิดถึงตัว คิดถึงแต่จะมีบ้านของตัว อยู่อย่างอิสระคิดถึงแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะหาเงินให้ได้พอไม่ติดขัด ข้าพเจ้ามองไปข้างหน้ามีแสงสว่างที่ทำให้คุณดิ้นรนเหมือนกัน แต่มันเป็นแสงสว่างวงแคบๆ ครั้นมองไปให้ไกลอีกหน่อย มองไปในหนทางอันยาวไกลข้างหน้า ที่คุณจะเดินก็มีแต่ความมืดมิดนี่เองที่ทำให้บางขณะคุณก็ดิ้นรนขนขวายคิดไป บางขณะก็ทำให้ท้อคอตก และพลอยให้กลัดกลุ้มแทบบ้า จิตใจบางขณะของคุณก็ฮึดสู้ สู้กับอุปสรรค สู้กับความคิดของตัวเอง แต่ในบางขณะก็ยอมจำนน หมดหวัง และหมดอาลัย ความคิดของคุณไหวหวั่น และกวัดแกว่งไม่แน่นอนอยู่ตลอดห้าปี  แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคุณคือประทีปอันสว่างไสว ย่างเข้ามาในวิถีแห่งชีวิตของข้าพเจ้า คุณเข้ามาช่วยเหลือข้าพเจ้า ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวที่ขัดข้อง ไปจนถึง ปัญหาชีวิตอันใหญ่โต ที่มันมีทั้งแสงสว่าง และมืดทึบนั้นคุณเอาประทีปอันจำรัสโรจน์ของคุณ ส่องไปในวิถีชีวิตที่ปลายทางนั้นมืดทึบอยู่แล้ว และวิถีชีวิตนั้นต้องแสงประทีปก็สว่างขึ้น มองไปเห็นได้โดยตลอด  คุณจับมือข้าพเจ้าจูงเดินไปในวิถีชีวิตนี้ แล้วคุณทำให้ข้าพเจ้าก้าวไปอย่างองอาจไม่หวั่นไหว ไม่กวัดแกว่ง ไม่ลังเลเต็มไปด้วยความหวังอันมีคุณกับข้าพเจ้าได้ก้าวไปแล้วในวิถีเดียวกัน คุณเองได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักชีวิต ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักโลกแล้ว  คุณเองได้บอกให้ข้าพเจ้าร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับคุณ จำได้ไหม ข้าพเจ้าบอกคุณว่าอย่างไร แน่นอนคุณต้องจำได้ เหมือนที่ข้าพเจ้าก็จำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน คุณตอบข้าพเจ้าสั้นๆว่าตกลง เพื่อความหลุดรอดของมนุษยชาติ!  คุณนึกๆ ก็ขันในความเห็นพิลึก พิลั่นของตนเอง เมื่อพบคุณตอนแรกๆ คุณได้ปรารภกับข้าพเจ้า  ถึงการที่จะสร้างตัวด้วยลำแข้งอันบอบบาง  ข้าพเจ้าพูดตามจริงกับคุณว่า คุณต้องการบ้าน ต้องการเงินใช้ คุณมาคิดได้ว่า เคราะห์ดีเหลือเกิน ที่คุณพูดเรื่องนี้แต่กับข้าพเจ้า ถ้ามิฉะนั้นคนที่เขาได้ฟัง ก็คงจะแปลคำว่าต้องการบ้านไปเป็นว่า คุณต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม และคำว่าต้องการเงินไปเป็นต้องการสิทธิผู้เป็นเพื่อนชีวิต  แต่เอาเถอะถึงจะมีคนแปลคำพูดของคุณผิดๆ เช่นนั้นคุณก็จะไม่โกรธเขาเลย คุณเห็นใจเขา เพราะเขาแปลความไปตามสิ่งที่เขาเคยประสบ ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยเป็นจำนวนมากคิดว่า ตัวของตัวเองนั้นไม่สามารถยืนอยู่ด้วยเท้าของตัวเองได้  ฉะนั้นเมื่อเขาจะมีบ้านก็ย่อมหมายความว่า เขาจะมีครอบครัว  สังคมเรานั้นเวลาจะถามว่า  “ประชาชนนั้นมีสิทธิ์เลือกชีวิตเองแล้วหรือยัง คุณก็กลับพูดว่า ประชาชนมีความสุขแล้วหรือยัง ประชาชนในอดีต หรือในปัจจุบันนี้ก็เถอะ ถ้าไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตก็เป็นอันหมดโอกาสที่จะมีบ้านของตัวเอง”

มีประชาชนอีกจำพวกหนึ่งที่มีความรู้ แต่ก็เป็นความรู้แบบอนุรักษ์นิยม ของสังคมเก่าที่กำลังจะล่มสลาย ชอบให้ใครๆ เห็นว่าตนเองนั้นแก่สังคมจัด ชอบไปเมืองนอกแม้ไม่ไปอยู่ก็ขอให้ได้แอบโผล่หัวไปชะเง้อมอง แล้วก็กลับมาฟุ้งเหมือนพวกที่ไปอยู่รัฐเขียว สู่สำนักกบรู้แจ้ง หรือไม่ก็เหมือนพวกทหารอาสาสมัยล่าอาณานิคม พวกเหล่านี้ก่อนไปต่างประเทศไม่สนใจปัญหาอะไรเท่ากับปัญหาที่ว่าทำอย่างไรประชาชนจึงจะมีสิทธิ์ แต่คำว่าสิทธิ์ของประชาชน คือสิทธิ์ในการยึดครองสิทธิ์ผู้อื่น คุณขวนขวายอยู่แต่เพียงเท่านั้น อยู่แต่เพียงว่า ทำไมประชาชนในประเทศจึงจะไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ตรงข้ามทำไมจะได้เปรียบประชาชนในการจัดการทรัพย์สินในสังคมนี้ ไม่เข้าใจว่าการเสียสละคืออะไร สังคมคืออะไร และความสัมพันธ์ในสังคมคืออะไร คุณคิดว่าการเสียสละ คือเรื่องชวนหัวชั่วครู่ชั่วยาม  คุณเข้าใจว่า สังคมคือห้องขังของประชาชนที่ทำไว้สำหรับขังประชาชน คนเดียวบ้าง เป็นเรือนร้อย เรือนพันบ้าง ซึ่งคุณเห็นว่า คุณควรจะต้องเปลี่ยนให้เป็นห้องขังเอาไว้ขังประชาชนอย่างเดียว แต่ถ้าได้แถมพกอีกคนสองคนก็คงจะดีเหมือนกัน คุณเข้าใจว่าความสัมพันธ์ในสังคมคือสัญญาที่ต่างก็ได้ทำไว้ต่อกัน สำหรับจะได้เอาไว้ฉ้อฉลในเบื้องหน้า ประชาชนเหล่านี้ บางคนอุตส่าห์ไปเรียนสูงๆ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อนำเอาความรู้ที่ตัวเองเรียนนั้นมาควบคุมประชาชน มีบางคนฮุบเอารายได้ของประชาชนเอาไว้ทั้งหมด และอ้างว่าประชาชนมีหน้าที่เลี้ยงดูสังคม แต่พอประชาชนต้องการเงินใช้ในคราวจำเป็นก็ต้องกู้เขา แล้วต้องเสียดอกเบี้ยมากมาย พอประชาชนจะแสดงความเห็นอะไรออกมาบ้าง คุณก็ตัดบทอ้างว่า สังคมว่าอย่างนั้น สังคมว่าอย่างนี้ เป็นประชาชนที่เป็นหัวนอก ก็ขัดใจขึ้นมาก็อ้างธรรมเนียมเมืองนอก อ้างว่าเป็นคนดีมีหน้าที่ดูแลบ้านเมือง  คุณก็อุตส่าห์ขนขวายโผล่ไปต่างประเทศเสียนิดหนึ่งแล้วก็กลับมาเฉิดฉายในสังคม

สังคมเมืองนอกเป็นอย่างนั้น  สังคมเมืองนอกว่าอย่างนี้  ประชาชนเมืองนอกมีสิทธิ์เลือกตั้ง แล้วรัฐนี่หล่ะ… ส่วนบางคนก็พร่ำพูดถึงสิทธิ์ของประชาชนผิดเพี้ยนไปไม่เคารพเสียงข้างมาก จนกระทั่งว่า การเป็นประชาชนไม่ดีอยู่อย่างยากเข็ญก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมไม่เห็นเสียหายอย่างไร แล้วยังกลับแถมว่าความทุกข์ยากเป็นของประชาชน ดูเอาซิ ใครกันที่พูดเช่นนั้น และนี่ก็ดูเหมือนคุณขนขวายจนได้ป่ายปีนไปเมืองนอกกะเขาได้บ้าง แล้วถ้าจะไปดูสังคมของประชาชนของอารยะประเทศ เอามาปฏิบัติในรัฐนี่ที่ล้าหลัง เสียละกระมัง! ในรัฐนี่ มีประชาชนคิดและทำอย่างนี้จนรู้กันทั่วไป  เพราะฉะนั้นถ้าใครจะแปลคำพูดของข้าพเจ้าแปลกไปจากที่ข้าพเจ้าหมายความ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และเป็นเรื่องที่ไม่ควรแค้นเคือง เพียงแต่เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่คุณเป็นผู้ที่ไม่คิดอย่างคนหลายๆ คน คนเขาคิด คุณเข้าใจความหมายของคำพูดของข้าพเจ้าได้ดี คุณเป็นคนดี ชนิดที่ใครคนนั้นในวงการประพันธ์เรียกว่า “ผู้นำคนดี” และก็เพราะเหตุที่คุณเข้าใจคำพูดของข้าพเจ้าถูกต้องนี่เอง  คุณจึงได้ปรับทัศนคติของข้าพเจ้าที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยให้เที่ยงตรง  คุณได้ให้ความคิดเห็นแก่ข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าตัดสินใจใหม่ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย และไม่เกื้อหนุนส่งให้เราสมหวังได้ ทุกครั้ง และสังคมก็ไม่สิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขทุกวี่วัน ส่วนใหญ่เงินทองต้องสร้างให้เราผิดใจคนอื่นอยู่หลายครั้ง และสังคมเองก็ทำให้เราเป็นกังวล เราต้องการสังคมที่ดี ต้องการมีความสุข และปรารถนาความสบาย แต่สิ่งเหล่านี้คนอย่างเรานั้นไม่อาจหาได้ในสังคมคนดี ถึงว่าบังเอิญจะหาได้ มันก็ไม่จีรัง มันเป็นเพียงทรัพย์สินที่หาวาระ แต่จะวอดวายไปในเร็ววัน และที่ถูกต้องคือมันล้วนแต่เป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากความวิบัติของผู้อื่น มันเป็นสังคมคนดีที่สร้างขึ้นเหมือนเป็นคุกตารางกักขังประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง มันเป็นความสุข ที่เกิดขึ้นจากความทุกข์ยากของประชาชน มันเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนความไม่เต็มใจของประชาชนในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ และแบ่งฝักฝ่าย คุณทำให้ข้าพเจ้ารู้จักสังคมอันแท้จริง และคุณได้ทำให้ข้าพเจ้าปลงใจว่าจะเปลี่ยนแปลงโลก ความรู้ทั้งสองอย่างนี้ คุณชี้ให้ข้าพเจ้าได้รับรู้แล้ว ก็รู้สึกว่าสังคมของเรานั้นไม่ใช่อื่น ไม่ใช่   ตึกรามสวยงาม แต่เป็นสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาลของเรานี้เอง เราได้ศึกษาโลกกว้างจากโลกจริง และเราก็ได้ศึกษาวิธีเปลี่ยนแปลงโลกจากโลกจริงด้วยเช่นกัน

คุณบอกกับข้าพเจ้าในภายหลังว่า ที่คุณทำให้ข้าพเจ้ามีจุดยืนอย่างนี้มีทรรศนะอย่างนี้ก็เพราะคุณรักประชาชน และตั้งใจที่จะดูแลประชาชน ถ้าข้าพเจ้าไม่มีจุดยืน และทรรศนะอย่างเดียวกับคุณ คุณก็ไม่อาจที่จะอยู่ร่วมสังคมกับข้าพเจ้าได้  เพราะเราจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมในการดำเนินวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งกว่านี้คุณถึงกับไม่สามารถรักประชาชนได้ตลอดไป เพราะการที่เรามีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน เราก็จะมองโลกไปคนละมุม ในที่สุดก็ไม่อาจเข้าใจและเห็นใจกัน คุณกล่าวได้ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเองก็รู้แล้วว่า ถ้าข้าพเจ้ายังคิดอะไรอยู่เหมือนเดิมนั้น ก็ไม่อาจเข้าใจคุณได้ถึงวันนี้ เพราะทรรศนะคติของข้าพเจ้าแต่ครั้งก่อนนั้น เป็นอริกับความคิดของคุณในวันนี้ เมื่อความคิดของเราไม่ตรงกัน เราะจะอยู่ร่วมสังคมเดียวกันได้อย่างไร?

คุณเล่าถึงความหลังมาตั้งนานจนเกือบลืมเล่าถึง รัฐนี่ในเมืองหลวงเตรียมงานฉลองพลเรือนและประชาชนสากลครั้งใหม่เป็นการใหญ่ทั่วเมืองหลวงเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ และการคืนความสุข ประชาชนได้พากันหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศตั้งแต่รัฐขาวไปจนถึงรัฐฟ้า ตั้งแต่รัฐเหลืองไปจนถึงรัฐสลิ่ม นักกีฬาจากรัฐเขียวส่งนักกีฬามาร่วม 26 คน มีข่าวว่านักกีฬาเอกจากรัฐแดง มาเรีย เรดโรส เป็นผู้ชนะเลิศวิ่งมาราธอนหญิง  “ท่านบาทหลวงภราดร แห่งรัฐส้ม ก็มีสาห์นไปอำนวยพร และกล่าวว่า คุณพ่อรู้สึกเสียดายอย่างมาก ที่ไม่สามารถมาร่วมงานปะทะสังสรรค์เพราะติดกิจนิมนต์ แต่คุณพ่อได้ขอให้สมาคมนักศึกษา และประชาชนมาร่วมงานด้วย ขอให้สันติขอความสุข จงมีแด่ประชาชนทั้งหลายทั่วสากลโลกเทอญ”  ฝ่ายข้างรัฐน้ำเงิน นั่นก็ได้แจ้งความจำนงไปว่าจะมาร่วมงานด้วยเหมือนกันงานนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม และจะเลิกเอาวันที่ 19 เดือนเดียวกันจะเปิดงานที่สนามกีฬาประจำเมืองซึ่งเป็นสนามที่ใหญ่โตและทันสมัย ในตอนกลางคืนจะมีการจุดดอกไม้ไฟที่แม่น้ำ เยาวชนทั้งหญิง และชายจะพากันลงไปเล่นเรือในแม่น้ำที่งดงามนี้ และจะได้ร่วมปฏิญาณว่าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปเพื่ออนาคตใหม่ของเรา ข้าพเจ้าได้ไปดูที่แม่น้ำมาแล้ว เป็นแม่น้ำที่งดงามอยู่กลางเมืองหลวง มีเรือพายแบบมหาวิทยาลัย เรือยนต์ขนาดเล็ก เรือใบ แล่นฉวัดเฉวียนอยู่ตลอดเวลา

ข้าพเจ้าพบกับเพื่อนนักศึกษา เพื่อนรัฐนี่คนหนึ่ง เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อครั้งการสลายการชุมนุมครั้งที่แล้ว บ้านเรือนของพวกเราพังเสียหาย ประชาชนไม่น้อยเสียชีวิต เขาเกลียดความแตกแยกในสังคมที่สุด เขาพูดอย่างเจ็บแค้น เขาพูดถึงความมั่นใจที่จะหยุดความแตกแยกในสังคมให้จงได้ เขาว่า รัฐนี่ก็ถูกถล่มทางอากาศเหมือนกันหรือ ใช่แต่มันคงไม่เท่าที่นี่เป็นแน่ ข้าพเจ้าว่า เมืองหลวงถูกระเบิดไม่ใช่น้อย จนป่านนี้ตึกรามที่ถูกไฟไหม้ ยังบูรณะไม่หมด ตอนนี้ท่านผู้นำฉายแสงแห่งความภาคภูมิออกมาจากดวงตาทั้งคู่ เขาประกาศกร้าว “เมืองหลวงของข้าพเจ้า ศูนย์ราชการไหม้เป็นตอตะโก แต่เรากลับสร้างศาลากลางขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว และงดงามกว่าเดิม  ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าโลกถูกไฟไหม้เสียหาย แต่เดี๋ยวนี้ศูนย์การค้า ศูนย์ราชการเราสร้างขึ้นใหม่แล้ว คุณก็ประจักษ์แล้วว่ามันงามอย่างไร แต่อิฐทุกๆชิ้น หินทุกๆ ก้อน ได้ทำสัญญาประชาคมว่า เราจะไม่ยอมให้พินาศไปเพราะความขัดแย้งของการชุมนุมทางการเมืองนี้อีก ที่เรานัดมาประชุมกันครั้งนี้ก็เพื่อจะร่วมสัญญากับอิฐ และหินเหล่านี้ มือของเราทั้งหลายจะสามารถป้องกัน และพิทักษ์สันติภาพได้อย่างมั่นคง ! ข้าพเจ้าเห็นใจประชาชนทั้งหลาย ความขัดแย้งทางการเมืองได้สอนให้รู้ว่า การที่เขาอยู่เฉย หรือยอมเป็นเครื่องมือของนักการเมือง  ย่อมทำให้เขาไม่อาจพ้นความสูญเสียไปได้ คัดค้านความขัดแย้ง และพิทักษ์สันติภาพเท่านั้นที่ประชาชนจะยังอยู่อย่างร่มเย็น เวลานี้ไม่ว่าที่ไหนในรัฐนี่มีแต่คนทำงานกันอย่างขะมักเขม้นทั้งนั้น ประชาชนในเมืองหลวงได้ร่วมกับ   นักเคลื่อนไหวองค์กรเอกชน 2475  นักวิชาการ นักศึกษา ประชาชนที่รักสันติภาพที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านก็มี พวกเขามาช่วยขนอิฐ ขนหิน ซากปรักหักพังที่มาจากการชุมนุมประท้วงอันเกิดจากความขัดแย้งนั้น เพื่อให้การบูรณอาคารนั้นได้รวดเร็วเข้า ศูนย์ราชการ ห้างร้าน สนามกีฬา ได้สร้างขึ้นมากมายตามริมถนนหนทางที่มีแสงไฟสวยงาม เวลานี้ประชาชนในเมืองหลวงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อจะได้ให้เมืองหลวงแห่งนี้สมกับที่จะเป็นเมืองจัดการประชุมสันติภาพสากลในคราวนี้

ประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำสายเดิมล้วนแต่มีจุดหมายอย่างเดียวกันทั้งนั้น เขาทั้งหลายไม่ต้องการที่จะถูกไล่ต้อนให้ไปหลบตามซอกตึก ไม่ต้องการใช้อาวุธไปฆ่าฟันเพื่อนร่วมชาติ ไม่ต้องการใช้เก้าอี้ฟาดศีรษะคนในชาติ ไม่อยากไปนอนตายกลางถนนแล้วกลายเป็น “ผู้หายสาบสูญ” แต่ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเช่นเดียวกับนานาประเทศ คุณคงจะได้กลับมาพบข้าพเจ้าในเร็ววัน มาร่วมกับข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนรากหญ้า และเพื่อสันติภาพในบ้านเมืองของเรา คอยข้าพเจ้าแต่ก็ต่อสู้ไปด้วย อย่าหยุดการรณรงค์ ขอให้ชัยชนะจงเป็นของประชาชนที่ถูกกดขี่ ขูดรีดทั้งหลาย สุดท้ายนี้ขอให้ความสุขจงอยู่เคียงข้างประชาชนเช่นเดิม

โอมสันติภาพจงงดงาม

ข้าพเจ้า 

 

บทส่งท้าย

สถานการณ์ในประเทศเพื่อนรัฐนี่ มีรายงานว่า ในระหว่างการประชุมสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างรัฐนั้น ได้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้เข้ามากระชับพื้นที่กวาดยิงตัวแทนระหว่างรัฐทั้งหมด รัฐบาลใหม่จากรัฐเขียวที่เพิ่งได้รับเอกราช ได้เริ่มการกวาดล้างผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองจากรัฐอื่นๆ “จดหมายจากรัฐนี่” ได้เขียนขึ้นในระหว่างที่เกิดสงครามระหว่างรัฐ นั้น เมื่อวันเวลาผ่านไปได้เกิดกระแสที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ และทำให้เกิดการเดินทางข้ามแดนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเดินทางนั้นได้ทำให้เกิดความพร่ามัวของพรมแดนของรัฐชาติ ความขัดแย้งในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้ผลักไสให้อิทธิพลของยักษ์ใหญ่ชาติตะวันตกได้กระเด็นตกทะเลไปอย่างไม่มีวันกลับ วันเวลาในรัฐแต่ละรัฐ ดินแดนแต่ละดินแดนได้สลายความขัดแย้งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่ออดีตผู้นำรัฐนี่ได้มีนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าอันเป็นที่มาของชุมชนในอุดมคติที่ใครต่อใครเฝ้าใฝ่ฝันถึง

ส่วนกลุ่มที่เห็นต่างทางการเมืองได้มาตั้งกองกำลังตามบริเวณชายแดนของรัฐนี่กับเพื่อนบ้านใกล้เคียง การปราบปรามของรัฐบาลกลางได้ดำเนินไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในวันสุดท้ายก่อนที่ฐานทัพ และเมืองแห่งนี้จะแตก ข้าพเจ้าไปทำงานที่ไร่ เมื่อกลับมาบ้านเรือนก็ไหม้เป็นจุณไปซะแล้ว ! ประชาชนในหมู่บ้าน ได้หอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้    จูงมือลูกหลาน ทยอยข้ามพรมแดนมายังค่ายผู้ลี้ภัยในรัฐนี่ คนที่เดินทางเข้ามาใหม่ คนในชุมชนเรียกว่า “คนนอก” ส่วน  คนในชุมชนเรียกว่า “คนใน” ความแตกแยกในกลุ่มผู้นำ ตลอดจนความขัดแย้งของคนในชุมชนก็ดี เป็นมูลเชื้ออย่างดีให้กองกำลังฝ่ายรัฐบาลเข้ามารุกราน และยึดครองที่ตั้ง และทำลายกองกำลังของพวกเราอย่างง่ายดาย เมื่อนึกถึงก็มีแต่ เจ็บใจ   ก็เพราะคำสุภาษิตรัฐนี่ ที่ว่า “เกลือเป็นหนอน” นั่นแท้ๆ ที่ทำให้เกิดความยุ่งยากหลายตามมามากมายอย่างคาดไม่ถึง

หลายชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยในเขตแดนรัฐนี่ได้ดำเนินไปตามวัน และเวลา เมื่อข้าพเจ้าเหม่อมองไปยังฟากฟ้าฝั่งตะวันตกอันเป็นบ้านเกิด ข้าพเจ้าก็พลอยเศร้าสะเทือนใจไปเสียทุกครั้ง.

……………………………………………

 

อ้างอิง

หมุดหมาย : จดหมายของอรรถ ถึงปทุม โดย อ.ส. ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “จดหมายวรรณกรรม คณะผู้เขียนจดหมาย” ฉบับวันจันทร์ ที่ 6 สิงหาคม 2494; กุลิศ อินทุศักดิ์    

 

ภูมิชาย คชมิตร หนึ่งในคณะผู้เขียนจดหมาย ผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเขียนจดหมายวรรณกรรม, เขียน อ่านหนังสือ และทำวิจัย เป็น Text Analyst อ่านวิเคราะห์ตำราชาติพันธุ์ และงานวิจัยต่างๆ ให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เรียนจบปริญญาโท สาขาวิชาลุ่มน้ำโขงศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น