เสียหมา

[For the English-language original “No Dogs Go Hungry,” click here.]

ดีโยน ณ มานดารูน เขียน
พีระ ส่องคืนอธรรม แปล

ตอนบ่ายอ่อนเขาและเธอหยุดยืนอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์จัดแสดงรอแยลโปรเจ็กต์ต่างๆของสุนัขราชาองค์สุดท้าย โลกรายรอบตัวเขาและเธอคุกรุ่นควันโขมง ไกลออกไปมหานครกระเพื่อมกระพืออยู่อื้ออึงเหมือนภาพลวงตาที่ไม่เนียน มหานครรึก็ครึคระไม่มีอะไรสูงเกินสิบชั้นให้เห็น มันยังเป็นแว่นแคว้นพวกจีนเก่าโล้เชือกสำเภาล่องใต้มาแต่ครั้งกระโน้น เมื่อไม่กี่คืนก่อนตอนเขาเห็นคนสวมมงกุฎในทีวีแล้วถามถึงสุนัขราชา เธอบอกเขาว่าฮีมีเชื้อจีน เขาเลยบอกว่า บูล-เฟิ้กกิ่ง-ชิต แล้วก็ ฮาวเดอเฟิ้กเดิซแด้ตอี้เวนเวิก เธอบอกไม่ถูก ไม่รู้จะพูดยังไง แต่เรื่องเชื้อสายมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ยูมีเลือดของอะไรน้อยกว่า ยูก็เป็นสิ่งนั้นมากกว่า แลข้อเท็จจริงพรรค์นี้ก็ยากที่จะคัดค้านได้

เป็นเวลาบ่ายอ่อน และเธอก็รู้ว่าเขาทนต่อไปไม่ได้หรอกในสภาพฟ้าอุ้มฝนใกล้เส้นศูนย์สูตรเช่นนี้ บันไดไม้ไม่กี่ขั้นพาขึ้นจากพื้นถนนไปสู่ประตูไม้สักบานคู่ติดตั้งในกรอบปูนสีผื่นภูมิแพ้สุกร ไฟติดๆดับๆติดใต้เพดานปากทางเข้าที่กินพื้นที่ตึกเข้าไปเล็กน้อย เธอหันไปถามเขาในความมืดมนเบื้องหน้านั้นว่าอยากเข้าไปดูดูไหม ใบหน้าเขาลงไปถึงแขนเปลือยไหล่เปลือยไหม้แดงเหมือนบ๊วยดองญี่ปุ่น เขาถอดหมวกแก๊ป มืออีกข้างลูบหนังหัวใต้ผมเกรียนด้วยความที่มันคันยิกๆไปทั่ว หันมองลงไปสุดถนนทำนองว่าน่าจะหาที่ที่ดีกว่านี้ได้ เหมือนกับเขากำลังหลงคิดไปว่าวัฒนธรรมเก่าแก่มันต้องมีอะไรต่อมิอะไรมากมายที่ไม่ใช่อันเนี้ยะ หยดแรกเริ่มตก หยดสองหยดสามตามมา กลุ่มคนสี่คนรีบรุดข้ามถนนขึ้นบันไดเบียดเธอและเขาเข้าประตูไป ว้อทช์แวร์เยอเก้อวิง เขาว่าไป แต่พวกนั้นไม่เข้าใจคำเขาไม่ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไป หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

ไม่รู้จะไปไหน แต่ตั๋วสองใบใบละเจ็ดสิบก็ถูกกว่าไปโรงหนังใบเดียวก็แล้วกัน ข้างในที่แห่งนั้นเจ้าหน้าที่ผู้เคร่งขรึมรับเอาธนบัตรสีแดงจากแต่ละคนไป แล้วเอานิ้วโป้งกรีดธนบัตรสีเขียวออกมาอย่างเสียไม่ได้สามใบจากในซิปกระเป๋าคาดเอว ข้างนอกแว่วเสียงลมทะเลกระทุ้งหยามหยัน พวกเขารออยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสองนั่งเก้าอี้ยาวอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง ชายที่อยู่กับพวกนั้นสั่นขาแรงสัสๆ มือหญิงวางบนต้นขาชายคนนั้น แต่ก็ยิ่งทำให้อาการชักหนักกว่าเก่า เขาถอนใจ สวมหมวกแก๊ปอีกครั้ง

แทบไม่มีคนเลยที่นี่ เขาบอกพลางจับมือเธอไว้ ไม่มีตั๋วจะให้ด้วยซ้ำ

ไหนว่ายูไม่อยากเป็นนักท่องเที่ยวไง

นี่มันพอมีอะไรอยู่ใช่มั้ย

ไอเคยมาดูอยู่ครั้งนึง อีกที่นึงนะ ตอนฮียังอยู่ พิมพ์กันไม่หวาดไม่ไหวเลยแหละ อันนี้มันเกี่ยวกับกูปรี

กูปรีคืออะไรอะ

ตัวโปรดของฮีไง

นี่ยูจะบอกว่าฮีมีมิวเซียมโชว์อุทิศให้หมาที่บ้านตัวนึงงั้นเหรอวะ

เธอยักไหล่ ไอว่าฮีไม่ได้มีสิทธิมีเสียงในเรื่องนี้ซักเท่าไหร่หรอก

หมายถึงคนหรือหมา

 

 

แปดนาทีผ่านไป อาจจะด้วยความแน่ใจแล้วว่าละอองฝนที่เริ่มหนาเม็ดขึ้นนั้นจะไม่พาขาจรหน้าไหนหลงเข้ามาอีก เจ้าหน้าที่ก็ลุกจากโต๊ะไปปิดประตู แล้วหันประจัญหน้าผู้อยู่ในความดูแลเพื่อแนะนำตัวว่าเป็นผู้บรรยายหนึ่งเดียว ผู้บรรยายผายมือเรียก ทั้งหกเดินแถวเรียงหนึ่งตามหลังเขาดุจคนละเมอในโถงแคบๆไร้แสงไฟ ตุบตุบตีนย่ำบนพื้นไม้ปาร์เก้ถูกพายุและความมืดแห่งวิเวกสถานดูดหายไป ในห้องแรกมีแผ่นป้ายยาวทาบผนังด้านหนึ่งจากขอบซ้ายจรดขอบขวา บรรจุข้อความติดกันเป็นพืดๆติดอยู่ในกับดักของภาพถ่ายเก่าๆล้อมหน้าล้อมหลัง เรื่องเล่าตีกรอบไว้เช่นนี้ ซึ่งสำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากภาพหลอนประสาทกับอักษรภาพไอยคุปต์ เธอจึงรับหน้าที่ถอดความมหากาพย์กูปรี ชีบิชบาเซนจิตัวเอกในราชสุนัข ให้เป็นภาษาคนที่เขาเข้าใจ เล่าตั้งแต่ตอนที่เธอเกิดพร้อมสี่พี่น้องที่ไซต์ก่อสร้าง ถึงตอนที่ว่ากันว่าเธอมาจากสถานสงเคราะห์ มิใช่แดนประหารเงียบ เล่าว่าเธอจงรักภักดีอย่างที่หมาทั้งมวลล้วนจงรักภักดี  เล่าว่าเธอได้แยกเขี้ยวแข็งข้อต่อพวกหลังอานจรจัดแต่กลับวิ่งหนีปอมขนปุกปุยที่ร้องทักอย่างไม่สู้จะเป็นมิตร เล่าว่าเธอเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทถึงขนาดไหน

ดูนี่สิ เธอชี้ชวนให้สนใจครอบแก้วแสดงสิ่งที่น่าสนใจตรงท้ายห้อง ภายในมีพรมกำมะหยี่ผืนเล็กมีรอยด่างดวงตรงนี้ตรงนั้นและขาดรุ่งริ่งตามขอบ

ชีจะหมอบแทบเท้าฮีอยู่ตลอด

สี่คนที่เหลือเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านหลังเขาและเธอ เด็กคนหนึ่งแตกแถวหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพมุมกดที่ครอบแก้วนั้น “ห้ามถ่ายรูป” ผู้บรรยายกล่าวแทรกแต่ก็ช้าไป หนึ่งกริ๊ก หนึ่งวาบแสง เด็กหญิงคนนั้นเบือนหน้าหนีครอบแก้วอย่างกับเห็นภาพโป๊ เด็กหญิงสบตากับผู้ปกครองชายแล้วก็ผู้บรรยายอย่างเก้ๆกังๆ แต่ทั้งสองก็ไม่แสดงออกว่าได้รู้เห็นการฝ่าฝืนนั้น

มีครั้งหนึ่งตอนชีอายุได้ซักสามปี ชีเยี่ยวรดขาหลังทั้งสองข้างของเก้าอี้ของฮี แล้วปรากฏว่าครูฝึกคนเก่าก็หายจากสารบบไปเลย

แหงละว่าใครๆก็คงพูดอย่างนั้น

ยูคิดผิดแล้วหละ อยู่ที่นี่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าใครๆก็รู้ๆกันอยู่ดี ความหลงผิดที่พบเห็นได้ทั่วไปคือความคิดที่ว่าถ้อยคำจำเป็นต้องอาศัยคนเป็นผู้เอื้อนเอ่ยและสดับตรับฟัง และเมื่อเอ่ยถ้อยคำนั้นแล้วเราก็แอบอ้างสิทธิในสัจจะความจริงบางอย่างที่เราไม่มีค่าคู่ควร ยูไม่เห็นเหรอว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันผุดเกิดออกมาจากฮี? ฝนและพายุเกิดจากการโปรยผงอันศุจิของฮีไปบนท้องฟ้า เมฆชักม่านบดบังดวงอาทิตย์จากบารมีเหนือชั้นของฮี หมอกก็ห่มคลุมจนชุ่มเย็นไปทั้งมหานครเพราะฮีรู้สึกหัวร้อนขึ้นมาตอนก้าวจากหน้าซุ้มประตูไปสู่ลีมูซีนของฮี แม้กระทั่งพวกขอทานยังครองตนอย่างมีรสนิยมด้วยการงดตีฆ้องร้องป่าวความตรอมตรมของตน ซึ่งก็เป็นความตรอมตรมของฮีที่ปล่อยให้กู้ได้แบบไม่ระบุวันสิ้นสุดสัญญานั่นเอง

มาคราวนี้เขาบอกไม่ได้ว่าเธอปั้นเรื่องปั่นหัวเขาเล่นมากน้อยเพียงใด

 

ตรงท้ายห้องผนังคอดลงสู่ความมืดมิดคับแคบเสียจนเขาต้องคืบคลำไปอย่างปู หัวไหล่หนีบฝาผนังสองฝั่งไป ทางเดินเป็นท่อขดลงแล้วเหยียดออกแต่นั่นมันไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเลย เขาจับทางไม่ได้อีกต่อไปว่ารูปทรงมันเป็นอย่างไร เขาอยู่ตรงจุดไหน และเขาก็ค้อมศีรษะระวังไว้หลังจากไปชนเข้าหลายครั้งกับชิ้นกระดูกอะไรสักอย่างที่ห้อยจากเพดาน ในสภาพเหงื่อแห้งและหายใจติดขัด เขาหันหลังชวนว่าน่าจะได้เวลากลับแล้วมั้ยแต่อีกสี่คนที่เหลือก็ก้าวเข้ามาประชิดและผู้บรรยายหัวแถวก็ไม่ยอมหยุด เขาเห็นเด็กหญิงอยู่รั้งท้ายแถวด้วยแสงโทรศัพท์ส่อง เขาไม่เห็นเด็กหญิงกดเรียกคลังภาพถ่ายขึ้นบนจอ ไม่เห็นเด็กหญิงกดลบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆอันแรกในขณะที่พวกเขาออกมาสู่ปากโถงทอดยาวในแสงอัสดงปลอมๆ กลิ่นอับเหม็นเน่าเหมือนห้องส้วมไม่มีอากาศถ่ายเทเลื้อยขึ้นเกาะโพรงจมูก ฝ่าลมหายใจที่เขากลั้นไว้ แยงเข้าไปถึงประสาทรับกลิ่น ว้อทเดอเฟิ้ก เขาว่าพลางขับลมหายใจออกแต่มันก็เปล่าประโยชน์ เหนือหัวขึ้นไปมีหน้าต่างกระจกรับแสงพอให้เห็นความกรุณาของพายุ พอให้เห็นอ้อมกอดของพายุ ให้เห็นหัวใจของพายุเหมือนเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่เธอเฝ้ารอมาอาจจะตลอดชีวิตของเขาให้ชำเลืองมาชิมลาง ไม่ต้องอายหรอกถ้ายูอยากเหลือบดูหัวนมที่ชูชำแรกเสื้อสีเทารัดรูปราวเปียกม่อล่อกม่อแล่กมาจากไหน แค่อย่าลืมโชว์ใบดอลล่าร์กับพวกหล่อนก่อนเอ่ยปากถามก็แล้วกัน ว้อทเดอเฟิ้ก เขาว่า

เดอเฟิ้กในที่นี้แผ่หราอยู่บนแท่นกว้างยาวสองฟุตสูงถึงเข่าและมีเสาผูกเชือกตั้งบอกเขตห้ามเข้า ในแสงสลัวมันดูเหมือนแอ่งน้ำที่จับตัวเป็นวุ้นอยู่ถัดจากหัวกะหล่ำดอกสีขาวแห้งกรังเหลือแต่เศษผง สตูดึกดำบรรพ์โรยเครื่องหกเลอะออกมาตั้งแต่อรุณแรก เขาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้เขาเห็นได้เพียงเท่านี้ ผู้บรรยายบุ้ยใบ้ให้ทุกคนเข้าไปดูใกล้ๆ เธอควงแขนเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาเอาแต่ยืนหัวโด่อยู่รอบนอก ผู้บรรยายถามคำถาม เธอแปลให้เขาฟังว่าคำถามคือต้องใช้เวลาซักกี่สัปดาห์หมาถึงจะไม่เหลือเค้าความเป็นหมา เด็กหญิงบอกสอง เด็กชายบอกสาม ตรงนี้เขาพอฟังออก เธอส่ายหัว

ถึงจะตากแดดตากลมมาสี่เดือนแล้วก็เหอะ เวลาเห็นมันอยู่ข้างถนนยูก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเป็นหมา ตัวนี้เค้าเอามาเก็บรักษาไว้อยู่นี่ตั้งแต่อวัยวะหยุดทำงาน นั่นก็หกเดือนมาแล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าต้องใช้เวลาจริงๆเท่าไหร่

ไอไม่เชื่อยูหรอก

ไอไม่ได้เป็นคนพูดนะ

ไปกันเหอะน่า

ทางข้างหน้าและทางออกจอแจแออัดไปด้วยเรื่องโกหกหลอกลวง พระอาทิตย์ฉายฉานสาหัสกว่าที่เขาเคยเจอมาทั้งชีวิต เธอเดินตามเขาเป็นเงาตามตัวโดยไม่มีสายจูง ดุ่มเดินไปในหมู่คนผู้รำพันพิลาปถึงยุคศักดินาสวามิภักดิ์ ผู้โค้งคำนับ สัมผัส จุมพิต และกอบเก็บดินในรอยเท้าของเขาเพื่อเป็นสิริมงคล บางคนก็ถึงกับตักเอาจากรอยเท้าของเธอ พวกเขาเอามีดพกบ้างปลายด้ามช้อนบ้างขุดดินตรงจุดที่เหงื่อหยดจากปลายดังของเขา แล้วเศษดินเหล่านี้ก็กระดอนขึ้นนับหมื่น และแล้ววันหนึ่งที่เขาและเธอไปวิ่งเหยาะๆรอบบึงและหยุดชมพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมผาในอีกฟากของกระจกเงาฟ้าราตรี วันหนึ่งวันนั้นที่เขาพลั้งปากบอกความเจ็บช้ำน้ำใจในส่วนลึกที่สุด ไอวิช เขาเริ่มพูดแล้วก็หยุดรอให้นักบินข้างบนพายานเทียบท่าให้ถึงที่ก่อน ไอวิชเดคึดออลบีมอไล้ค์ยู แล้วเขาก็คุกเข่าลงประคองร่างที่สั่นเทาของเธอด้วยเธอนั้นไม่สามารถทำตัวให้ชินกับเสียงเทอร์โบเจ๊ตคำรามได้เลย

เราไปกันซะทีได้ไหม? ฝนน่าจะซาแล้ว

ไออยากเห็นว่ารอบนี้มันมีอะไรอีก เธอว่า

ยูไม่อยากหรอกน่า

อยากสิคะ

 

เขารุดหน้าไปคนเดียวผ่านจักรวรรดิเหล็กกล้าและปฏิญญา แถวหุ่นจำลองทรงลัญจกรแห่งพระอัจฉริยภาพ หุ่นส่งเสียงหึ่งๆ หม้อทึบส่งฟองบุ๋งๆ ร่างหดเหี่ยวภายในหม้อเหล่านั้นหมุนตีลังกาในสารละลายที่ถูกกวนช้าๆ เขาเร่งฝีเท้าผ่านไป พยายามไม่มอง เร่งฝีเท้าตัดผ่านตรงที่มืดดำยิ่งกว่าอันเป็นที่จัดวางสิ่งสำคัญกลางห้อง หน้าเขาเลยกระแทกเข้าให้อย่างจังกับกรงหมี ดาวระยิบระยับเล่นหลอกตาเขา ศีรษะเขาสั่นพ้องเป็นเพลง หมวกแก๊ปหาย พื้นวืดไปจากใต้เท้า

เขาป่ายมือไปเกาะซี่กรง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเขาได้กลิ่นลมหายใจหอบฮักในปากเขาก่อนอย่างอื่น หวานโลหิตเจือสนิมโลหะราวกับปอดเขาเลือดออก ได้รู้รสนั้นก่อนที่ดวงตาจะเลิกเล่นไม่เข้าเรื่อง  กลับมาทำหน้าที่ให้เขาได้เห็นผู้ชายเงยหน้ามองเขาจากช่องระหว่างซี่กรงหนาวแปลบในมือสองข้าง ชายผู้นั้นพูดกับเขา ลิ้นห้อยออกมายาวเกินไป ฟันหลอไปส่วนใหญ่ ศีรษะครึ่งซีกยุบปิดตาไปข้างหนึ่ง ร่างเปลือยและคลานสี่ขา ชายผู้นั้นยังพูดต่อไป ว้อทอาร์เยอเซ้ยิน? ว้อทเดอเฟิ้กอาร์เยอเซ้ยิน? เจิ๊สเก๊ตมีเดอเฟิ้กอ้าดาเฮียร์ ชายผู้นั้นทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตรงที่สองมือเขากำไว้แน่น แล้วกระถดถอยไปยกขาหลังข้างหนึ่งตรงหัวมุมอีกด้าน สี่ตีนเท่าฝาหอยถีบดิ้นดุกดิกในท้องมาน เขาโซซัดโซเซถอยจากกรง กลับไปรวมกลุ่มกับพวกที่เพิ่งมาถึง กลับไปหาผู้บรรยายที่ทอดถอนใจใส่เขาสองสามคำพลางส่ายศีรษะอย่างที่เขาทำประจำกับนักท่องเที่ยวในห้องนี้ ธาตุไฟพุ่งขึ้นลนคอเขาขณะที่เธอรับตัวปวกเปียกนั้นไว้ งับใบหูเขาด้วยความมันเขี้ยว

ฮีบอกห้ามถ่ายรูปน่ะ

 

 

เด็กชายและเด็กหญิงข้ามถนน จ้ำอ้าวตรงไปไม่สนใจแอ่งน้ำคร่ำดำ ผู้ปกครองหญิงยกมือตะโกนใส่ทั้งสอง ผู้ปกครองชายไล่หลังไป ผ่านไประยะหนึ่งมีขาจรตัวจริงหลงเข้ามาทางบาทวิถีและมันก็คุ้ยเขี่ยหากิน มันถนัดใช้ขาเดี้ยงข้างซ้ายด้านหน้าของมันที่หักงุ้มเข้าเมื่อนานมาแล้ว หัวเรียวมันผงกหงึกหงักไข่หำมันยักซ้ายย้ายขวาขณะที่มันทำจมูกฟุดฟิดไปตามกระเบื้องตัวหนอนที่เริ่มแห้งคุ้ยหาอะไรที่มีรสชาติเคลือบอยู่ มันเจอเข้ากับผู้บรรยายตอนกำลังจิ้มลูกชิ้นจากถุงใส่ปากทำเป็นไม่สนใจห่างออกไปห้าเมตร ผู้บรรยายเมียงมองหมา หมามองออกไปที่รถราบนถนน หูลู่แนบกะโหลก ผู้บรรยายมองดูลูกชิ้นไม้สุดท้ายกับน้ำจิ้มท่วมเนื้อ เขาเล็งไม้เสียบลูกชิ้น หมุนไม้ให้น้ำจิ้มอาบ แล้วจัดการเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้รูดลูกชิ้นออกจากไม้ลงวางบนพื้น สุดท้ายเขาหักไม้และขยำถุงในมือ โยนขยะไปที่กองถุงดำรั่วซึมข้างถนน เช็ดมือตัวเองกับขากางเกง แล้วกลับเข้าไปปิดตึก ตอนเขาไปแล้วหมามันก็คาบเอาชิ้นเนื้อเข้าปาก เคี้ยว เลียแผล่บๆที่รอยน้ำจิ้มจางๆบนพื้นคอนกรีต แต่ก็ตามหาถุงพร้อมกับไม้เสียบที่หักเป็นสองท่อนนั้นด้วย เมื่อพบแล้วมันก็ดูดแจ้บๆจนหยดสุดท้าย ขากรรไกรบดเศษไม้หารสชาติที่ยังติดค้างแล้วกระเดือกลงไปไม่เหลือ.