นิทานการเมือง เรื่องเด็กในวันนั้นกับผู้ใหญ่ในวันนี้

ผลงานผ่านการคัดเลือก โครงการ “เขียนใหม่นายผี” รายการที่ 1

ประเภทผู้มีอายุถึงเกณฑ์ได้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา

โดย จันทร์สว่าง

 

“เธอร้องไห้อยู่เหรอ” เสียงหนึ่งทักขึ้น

เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดวงตาบวมเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา เธอกะพริบตาหลายครั้ง สับสนกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของเธอ หญิงสาวที่เห็นหน้าตาเหมือนกับเธอ แต่แต่งชุดที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน กับสวมแว่นตาที่เธอไม่เคยซื้อ

“ฉันคือเธอเองแหละ แต่ว่าเป็นเธอในปี 2562 ตอนนี้ฉันเรียนปริญญาโทอยู่ นี่เธออยู่มอหกเหรอ” หญิงสาวเจ้าของเสียงแรกถามอีก

“อื้อ นี่ปี 2557 ว่าแต่ เธอมาที่นี่ได้ยังไง ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ” เด็กสาวถอดแว่นที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา แล้วยกมือปาดน้ำตาตัวเอง

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้มั้ง แล้วนี่เธอร้องไห้เรื่องอะไรน่ะ”

“อะไรกัน เธอเห็นฉันร้องไห้ขนาดนี้แล้วจำไม่ได้เหรอ ฉันร้องไห้เพราะว่ามีรัฐประหารอีกแล้วน่ะสิ” เด็กสาวเอ่ยแต่ละถ้อยคำอย่างเจ็บปวด

“อ๋อ ตอนนั้นน่ะเอง” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “นี่คือวันที่เธอโดนพ่อแม่ดุเพราะไปโพสต์ต้านรัฐประหารในเฟสบุ๊คใช่ไหม”

เด็กสาวพยักหน้า “ใช่ มันน่าเศร้ามากเลย อีกแค่ไม่กี่เดือน อายุฉันก็จะสามารถเลือกตั้งได้แล้ว แต่หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้งอีก ไม่รู้ว่าจะต้องรอจนเป็นคุณยายถึงจะได้มีโอกาสเลือกตั้งรึเปล่า ทหารไม่ควรทำแบบนี้เลย ทำเหมือนกับว่าประชาชนไม่มีความคิด ไม่มีวิจารณญานในการเลือกผู้นำของตัวเอง” เด็กสาวเม้มปากแน่น ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้อีก แล้วพูดต่อไปว่า “ฉันยังจำได้เลยนะ เมื่อรัฐประหารปี 49 พอตื่นเช้าขึ้นมาแล้วแม่มาบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปเรียนเพราะมีรัฐประหาร ฉันก็ดีใจ พูดกับแม่ว่า รัฐประหารนี่ดีจังเลย แต่แม่พูดอย่างจริงจังมากว่า “รัฐประหารฆ่าประชาธิปไตยนะลูก” หลังจากนั้นฉันก็เริ่มสนใจการเมือง แล้วค่อยๆ ศึกษาเรื่องการเมืองมาเรื่อยๆ แล้วดูสิ มาวันนี้แม่กลับดุฉันที่ไปโพสต์ลงเฟสเรื่องนี้”

“แม่เขาก็เป็นห่วงเธอน่ะ ตอนนี้เธอเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลแล้วนะ ต่อไปถ้าเธอทำงานแล้วมีคนมาขุดเฟสเธอ มันก็มีความเสี่ยงสูงเหมือนกัน” หญิงสาวเข้ามาโอบไหล่เด็กสาว “ชีวิตมันมีอะไรมากกว่าเรื่องการเมืองอีกเยอะ”

เด็กสาวผลักหญิงสาวออกไป “ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ” พร้อมกับขมวดคิ้ว “เธออย่าพูดจาเหมือนพวกผู้ใหญ่ได้มั้ย ถ้าพวกเราซึ่งเป็นประชาชนไม่ใส่ใจเรื่องการเมือง คอยตรวจสอบรัฐบาล สังคมจะมี check and balance ได้ยังไง” เธอเริ่มขึ้นเสียง “อย่ามาพูดนะว่า Ignorance is bliss. เพราะคนเราคิดกันแบบนี้แหละ สังคมถึงได้วนเวียนกลับมาสู่การรัฐประหารได้ไม่รู้ก่ีครั้งต่อก่ีครั้ง”

หญิงสาวถอนหายใจแต่ไม่ได้พูดอะไร เธอจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าเงียบๆ

“ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรบ้างล่ะ” เด็กสาวพูดขึ้นเมื่อรู้สึกอึดอัดกับความเงียบนั้น

“เพราะว่าฉันเข้าใจ ว่าเธอจะไม่เข้าใจฉัน” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“เธอหมายความว่าอะไร อะไรที่ฉันจะไม่เข้าใจ” เด็กสาวเริ่มสนใจ และขยับตัวเข้ามาใกล้หญิงสาวเป็นครั้งแรก

“เธอยังไม่เข้าใจ ว่าชีวิตมันมีอะไรมากกว่าเรื่องการเมืองแบบ high politics เยอะจริงๆ” หญิงสาวพูดช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “เธอจะคอยติดตามข่าวการเมืองแบบนี้ต่อไปก็ได้ แต่เดี๋ยวอีกไม่นานเธอก็จะรู้ว่ามันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน รัฐธรรมนูญใหม่ที่เขียนโดยทหารจะวางรากฐานให้อำนาจทหารอยู่ในระบบการเมืองต่อไป การเลือกตั้งก็จะถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างที่เธอกำลังกังวล แล้วถึงแม้วันนึงมีเลือกตั้งขึ้นมาจริงๆ การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะทำให้เธอตั้งคำถามขึ้นมาว่า แค่มีเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยแล้วจริงหรือ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเสพข่าวมากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งรับรู้ถึงความไร้กำลังของตัวเอง พอเธอได้สัมผัสความรู้สึกส้ินหวังนั้นหลายๆ ครั้งเข้า เธอก็จะทำทุกวิถีทางให้ไม่ต้องรับรู้ข่าวสารการเมืองเลยล่ะ”

ดวงตาของเด็กสาวคลอไปด้วยน้ำใสๆ อีกครั้ง เธอพูดเสียงสั่นว่า “ชีวิตมันจะเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ชีวิตมันก็ไม่ได้มีแต่ความน่าหดหู่หรอก พอเธอได้สัมผัสความสิ้นหวังในบางเรื่อง เดี๋ยวก็จะได้สัมผัสความหวังใหม่ในเรื่องอื่นๆ เหมือนกัน” หญิงสาวยิ้มอีกครั้ง “อายุที่มากขึ้นจะสอนอะไรเธอหลายอย่าง เธอจะได้ค่อยๆ เรียนรู้ว่ามันมีวิธีพัฒนาสังคมให้ก้าวไปข้างหน้ามากกว่าเท่าที่เธอรู้ตอนนี้ ไม่ได้มีแต่นักการเมืองที่พัฒนาประเทศได้หรอก เธอตั้งใจเรียนต่อไปนะ แล้วก็ตั้งใจฟังคนอื่นให้มากๆ ด้วย การเรียนต่อต่างประเทศมันจะช่วย shape ตัวตนของเธอจริงๆ แหละ การได้ทุนรัฐบาลนี้มีราคาที่เธอต้องจ่ายหลายอย่าง อย่างเสรีภาพในการพูด ที่เธอต้องยอมรับว่าบางคำพูดก็ไม่ได้มีไว้ให้เธอพูด เธอต้องกลืนมันลงไป เพื่อให้อยู่รอดในสังคมนี้ต่อไปได้ แต่ถ้ามองกันยาวๆ แล้วฉันว่าการเป็นนักเรียนทุนมันมีความหมายในตัวของมันเองนะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวเธอก็จะได้เรียนรู้เองว่าเธอจะใช้ความรู้ความสามารถ โอกาส และ connection ที่เธอมีทำประโยชน์ให้สังคมได้อย่างไรบ้าง”

“จะว่าไป นี่เธอเรียนปริญญาโทอยู่ที่ไหนน่ะ” เด็กสาวถามขึ้น

หญิงสาวยิ้มโดยไม่พูดอะไรอีก

เด็กสาวกะพริบตา

ยามเช้าได้มาถึงอีกครั้ง

 

จันทร์สว่าง เป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เป็นเด็ก เวลาที่เดินหรือนั่งอยู่คนเดียวจะชอบฟังเสียงที่อยู่รอบตัว ตอนนี้กำลังตามหาว่าจะใช้เสียงของตัวเองอย่างไรให้มีความหมาย