คุยกับสี่เธอ Re: ย่าของย่าของยาย


เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว น้องชายของฉันโทรมาหา เราไม่ได้เจอกันมาราวสองปีแล้ว ก็ถามสารทุกข์สุกดิบกันไป แล้วเขาก็ขอโทษฉัน “พี่อุ๊ ผมขอโทษนะที่เคยว่าพี่ ตอนนี้ผมเป็นยิ่งกว่าพี่อีก”

เรื่องของเรื่องคือเมื่อก่อนเขาชอบว่าฉัน ว่ามัวนั่งเลี้ยงหลานไปจนแก่ตาย ไม่รู้จักไปเปิดหูเปิดตาอย่างคนแก่ที่เขาไปวัดถือศีลกินเพล ไม่รู้จักห่วงตัวเอง

ตอนนั้นเขาเองยังไม่มีหลาน แต่มาตอนนี้  “พี่รู้ไหมผมเลี้ยงหลานตั้งแต่สิบขวบจนถึงหกเดือน สามสี่คน พ่อแม่มันไปทำงาน ถ้าเราไม่ดูมันก็ลำบาก ผมเข้าใจพี่เลยที่ต้องแบกภาระ ตอนนี้หลายๆคนก็โตหมดแล้ว พี่คงมีเวลาสำหรับตัวเองบ้างแล้วนะ”

ฉันเลยตอบไปว่า ใช่ ฉันมีเวลานอนป่วยอยู่นี่ไง นี่ล่ะที่เขาเรียกว่ากงกรรมกงเกวียน พ่อแม่ปู่ย่าตายายสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ “แกเลี้ยงไปเถอะ เขาก็จะโตกันไปเรื่อยๆ พยายามอยู่เลี้ยงให้เขาโตก่อนนะ”

วางสายไปแล้ว แต่ฉันยังนั่งคิดว่า วันเวลาของฉันเหลือน้อยเต็มที ฉันต้องใช้ทุกวินาทีให้คุ้มที่สุด ฉันพยายามที่จะทำตัวให้แข็งแกร่งทั้งใจและกาย จนหลานฉัน เธอ 1 ถามฉันว่า “ทำไมเดี๋ยวนี้ย่าเดินไกล เดินวนไปวนมายังกับเดินจงกรม” ฉันเลยตอบไปว่า “หรือจะให้ย่านอนจงกรมไปตลอดล่ะ”

“ขาแขนย่าหายชาแล้วหรือ”
“ก็ดีขึ้นมาก”
“พรุ่งนี้เราไปวิ่งกันไหม”
“ยังไม่พร้อม! กวนแล้วไหมล่ะ”

เธอ 2 ถามว่า “เมื่อก่อนยายเล่าให้ฟังว่าย่าของยายก็ชอบเดินไปไกลๆ แล้วยังไงนะยาย เล่าให้ฟังอีกทีสิ”

“ตอนนั้นย่าของยายชอบเดินไปไกลๆตอนเช้า พอกลับมา ยายก็ถามย่าว่าไปไหนมา ตอนนั้นเราอยู่ในกรมทหารที่ชลบุรี ย่าบอกยายว่าย่าไปแปดริ้วมา ยายถามว่าไปทำไม แกบอกว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธรมา ตอนนั้นย่าของยายเริ่มความจำเสื่อมแล้ว แต่แกก็ต้องเดินทุกเช้าด้วยความเคยชินทั้งที่อายุจะแปดสิบแล้ว แกเดินไปมีไม้เท้าอันนึง แต่ขากลับก็ลากท่อนไม้มาด้วยอีกอันนึง ยายถามว่ามันหนัก ย่าลากมาทำไม แกบอกว่าเอาไว้ปลูกบ้าน”

ฉันเล่าแถมต่อไป “ย่าของยายแกเป็นคนขยัน สมัยยายยังเล็กๆ พอย่าลืมตาขึ้นมาแกต้องทำโน่นทำนี่ ไม่เคยนั่งอยู่เฉยๆเลยซักครั้ง ย่าจะเย็บผ้าในเวลาว่างด้วยเข็มเล่มเดียว ยายมีหน้าที่ร้อยด้าย ผ้าห่มผืนบางๆที่ขาด แกจะปะจนเย็บทับซ้อนเป็นผ้านวม เสื้อที่ไม่ใช้แล้วสมัยไหนก็ดูได้ที่ผ้าห่ม จนกลายเป็นผ้าปูนอนที่นุ่มที่สุด ข้าวเย็นเหลือนิดหน่อยย่าก็จะตากแล้วทำเป็นขนมข้าวตูใส่โหลไว้ให้หลานล้วงกินได้ทั้งวัน”

“อ๋อ คงเหมือนที่ย่าตากไว้ ย่าคงเป็นเหมือนย่าของย่าแน่เลย” เธอ 3 ถามต่อไป “แล้วทำไมย่าไม่ทำ ข้าวตรู ด้วยล่ะ”

“เคยทำแล้ว! คือทำแล้วย่าต้องกินคนเดียวจนหมดไง ไม่มีใครกินเลย กินกันแต่ขนมถุงๆ ไม่มีใครกินขนมไทยๆกันแล้วตั้งแต่พวกหนูโตๆกันมานี่ ว่าแต่พูดถึงย่าแล้วก็คิดถึงจังเลย อีกหน่อยพวกหนูพูดถึงย่าก็คงบ่นคิดถึงย่าเหมือนกัน”

“แต่ขอให้มันผ่านไปอีกยี่สิบหรือสามสิบปีก่อนนะยาย” เธอ 4 ว่า “ขอให้ยายอายุยืนหมื่นๆปี”

“ดูหนังจีนมาล่ะสิ”

ในช่วงโควิดระบาด พวกเด็กๆจะกลับมาอยู่รวมกันเรียนออนไลน์ที่บ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่กันเต็มบ้านไปหมด แต่ฉันเหมือนจะรู้ตัวว่าเราเหมือนอยู่ลำพัง ทั้งที่ลูกหลานก็คอยมาถามย่า-ยายเป็นอะไร ทำไมซึมๆจัง คงไม่ใช่โรคซึมเศร้านะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกของคนเรานี่จะมีอาการไปตามจิตของเราเองที่ปรุงแต่ง ฉันต้องพยายามไม่เป็น

วันก่อนน้องสาวฉันมาเยี่ยม เขาตกใจว่าทำไมฉันโทรมอย่างนี้ ผมเผ้าขาวโพลน ปีที่แล้วยังไม่เป็นอย่างนี้เลย เหมือนปลงอนิจจังให้ฉัน ฉันเลยถามไปว่า “แล้วผมเผ้าข้างหน้าของแกล่ะ หายไปไหนตั้งครึ่งหัว เถิกเหมือนพวกแมนจูเลย ดีนะยังเอาที่ครอบผมอันเบ้อเร่อบังไว้” แล้วเราต่างก็หัวเราะกัน

เธอ 1 บอกว่า “เห็นย่าหัวเราะบ้างก็ดี ย่าไม่หัวเราะ ซึมๆ ทำเอาทุกคนตกใจกันหมด หรือว่าย่ารู้สึกเหงา ก็พวกหนูเห็นย่านอนก็เลยอยากให้ย่าพักผ่อนเยอะๆ แต่หลายวันมานี่เห็นย่าฟิตขึ้นมา ไม่ค่อยอยู่เฉยก็ดีแล้ว จะได้มีเรื่องคุยกันได้ทั้งวัน”

“ย่าจะไม่ยอมทิ้งเวลาไปเปล่าอีกแล้ว”

“ย่า หนูขอถามหน่อย สมัยย่าเคยมีการเก็บเงินไว้ในอนาคตไหม ต่างประเทศเขาทำกันนะ พอเริ่มทำงานเขาก็จะเก็บไว้ส่วนนึง หนูว่าดีนะย่า”

“ใช่ ดีสำหรับคนไม่มีภาระ แต่ชีวิตย่าตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นก็แบกภาระไปพร้อมกับพ่อแม่เพราะมีน้องเยอะ เอาแค่ปัจจุบันให้ผ่านไปได้จนถึงวันพรุ่งนี้ก็ดีถมไปแล้ว”

“แล้วย่าเคยคิดไหมว่าอนาคตย่าจะทำอะไรที่จะได้มีเงินร่ำรวย”

“คิดสิ แต่มันเป็นได้แค่ความฝัน เพราะปัจจุบันของย่าตอนวัยรุ่นมีแต่ต้องเสียสละเพื่อน้อง เพราะย่าเป็นพี่คนโต นิ่งดูดายไม่ได้ หนูก็ต้องช่วยพ่อแม่นะ” ฉันบอกเธอ 1

“ค่ะ แต่น้องหนูก็โตไล่ๆกัน จริงสิ ย่ามีน้องเล็กๆเยอะ ต้องทำอะไรบ้าง”

“ทำทุกอย่างที่ทำได้”

“แล้วย่าของย่าไม่ช่วยดูเหรอ”

“ลูกคนอื่นของย่าของย่า เขาเห็นย่าของย่าอายุมากแล้ว เขาก็มาขอรับย่าของย่าไปดูแลบ้าง ทั้งที่ย่าของย่าไม่อยากไปเพราะเขาเป็นห่วงย่ามาก แต่แกกลัวลูกๆจะทะเลาะกัน ก็เลยต้องไป ย่าของย่าบอกย่าว่าเดี๋ยวย่าก็กลับมา อดทนหน่อยนะ ย่าก็เลยต้องรับเละ แล้วก็มีย่าอ๊อดอีกคนที่ต้องลำบากเพราะย่าอ๊อดเป็นน้องที่อายุอ่อนกว่าย่าปีเดียว แต่ไม่หนักเท่าย่าหรอก”

“นี่เท่ากับย่าเลี้ยงคนมาสามรุ่นแล้วสินะ” เธอ 1 พูด

เมื่อวานนี้น้องสาวฉันมาหาอีก ถามฉันว่าตอนตั้งเจ้าที่ที่หน้าบ้าน ให้ใครมาดูหรือเปล่า ฉันถามว่าใครจะมาดูล่ะ

“อ้าว เขาต้องให้พ่อครูหรือพราหมณ์มาดูก่อนตั้ง เนี่ย…ซี้ซั้วตั้งถึงได้เจ็บป่วยรู้ไหม”

ฉันเลยบอกน้องสาวไปว่า “เห็นเขาตั้งศาลเจ้าที่ไว้หน้าบ้านกันทั้งนั้น ก็ทำตามเขานั่นแหละ โอ๊ย อย่าไปคิดมากเลย อยู่ที่ความศรัทธาของเรา เรารักเคารพก็เปรียบเหมือนท่าน อวตาร ลงมาคุ้มครองปกป้องคนที่อยู่ในที่ แต่ถ้าอยู่ไปไม่ดีก็คงจะเป็น เวตาล น่ะ” ฉันว่า “แล้วนี่มาเพื่อบอกแค่นี้เองหรือ”

“บอกแล้วก็ไม่เชื่อ กลับแล้ว”

หลานๆหันหน้ามามองฉัน ฉันเลยบอกไปว่าเราเชื่อกันคนละแบบ อย่ามโนกันไปใหญ่ ศาลก็คือศาลพระภูมิ ไม่มีมาทำร้ายคนในหรอก

“ขึ้นชื่อว่าศาลก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละ” เอ๊ะ ฉันพูดทำไมเนี่ย คนละประเด็นเลย

เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน นอนกันดึกมาก แต่ฉันยิ่งดึกกว่า เห็นจะเป็นเพราะวัยดึกของฉันด้วยที่ยากจะข่มตาหลับได้ สมองของฉันไม่เคยหยุดคิดถึงหลายคนที่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง และอีกหลายคนที่น่าเป็นห่วง… ทำให้ฉันรู้สึกเหงาเศร้า นี่ฉันจะบำบัดตัวเองอย่างไร ก็คงคิดได้อย่างเดียวว่ามันต้องมีวันที่ดีสำหรับพวกเขาบ้างนะ

เช้าวันนี้ฉันเดินมาไกลมาก ทำไมถึงเดินมาไกลขนาดนี้ มันคงเหมือนว่าสมองของฉันกับขาไม่สัมพันธ์กันแน่ เพราะมันทำกันคนละหน้าที่ ฉันเพลินกับความคิดที่ไม่มีจุดจบ ขาของฉันก็ก้าวไปเรื่อยๆ มันถึงมาได้ไกลขนาดนี้ แล้วฉันมาทำไมตั้งเกือบสามกิโล แล้วเดินกลับอีกสามกิโล เป็นหกกิโล ฉันมองหาท่อนไม้สักท่อนเพื่อที่จะลากกลับบ้านให้พวก สี่เธอ งงเล่นบ้าง แต่ก็ไม่มีสักท่อนเลย

ฉันเห็นผู้สูงอายุหลายคนเขารวมกลุ่มคุยกัน ชวนกันไปที่โน่นที่นี่ ทำไมฉันถึงไม่อยากทำอย่างเขา เป็นเพราะว่าเขาปล่อยวางได้มากกว่าฉัน แค่เขาเดินสะดุด เขาก็หัวเราะกันจนน้ำตาไหล คุยกันเรื่องต้นกล้วยตั้งแต่ยังเป็นหน่อกล้วย จนมันเริ่มออกปลีจนมาถึงกล้วยเป็นเครือนับได้กี่หวี คุยถึงละครว่ามันเหมือนกับเป็นชีวิตจริงเลย ฉันรู้สึกอิจฉาเขาจัง แต่ฉันก็เสแสร้งหลอกตัวเองว่ามีความสุขไม่ได้ ชีวิตฉันจมอยู่กับอดีตที่เล่าได้เหมือนกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ปัจจุบันก็เลยเหนื่อยล้าเกินกว่าจะฝืนมัน ส่วนเรื่องอนาคตฉันไม่เคยนึกถึง เพราะรู้ว่ามันไม่มีสำหรับฉัน แต่ความรู้สึกของฉันบอกตัวเองว่าฉันยังรอ รอวันที่ไม่มีวัน คงเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าวันที่ไม่ได้รอจะมาถึง