[For the English-language original “Beyond Azathoth: Lovecraft Before the Real”, click here.]
ใครที่ได้อ่านงานของเลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) มาสักพักนึงแล้วก็คงพบเจอมาบ้างกับตัวละครเทพเจ้าสุญญปัญญาบอด นาม อาซาท็อท (Azathoth) ที่มักถูกพาดพิงถึงอยู่ในเรื่อง ถ้าท่านผู้อ่านได้ลองคิดดูแล้วก็จะพบว่า ไอ้เจ้าอาซาท็อทนี่มันคือตัวที่ขมวดรวบความคิดทางปรัชญาและเทคนิคการเขียนของเลิฟคราฟท์มาไว้ จนถ้าจะวิจารณ์อะไรของเลิฟคราฟท์ก็แทบจะเข้าตัวพระเจ้าองค์นี้เกือบหมด มันเป็นตัวแทนของความไม่อาจหยั่งรู้ไม่อาจเอาแน่เอานอนได้อันร้ายกาจของจักรวาล ขณะเดียวกันมันก็ถูกเนื้อเรื่องและตัวละครทั้งป่าวประโคม ทั้งพยากรณ์ ทั้งอัญเชิญเข้ามา จนแทบไม่เหลือความน่าสนเท่ห์ว่ามันเป็นอะไรยังไงกันแน่ ที่แน่ๆคือมันทรงพลังกว่าพวกทวยไท้เก่าแก่ (Great Old Ones) หรือพวกจ้าวปางอื่น (Outer Gods) อย่างคลูลู (Cthulhu) หรือนยาละโทเท็ป (Nyarlathotep) เพราะมันสามารถสะกดจุดจบอันเกินหยั่งถึงของจักรวาลออกมาตามตัวอักษรและออกมาได้ตามนั้นจริงๆ ด้วยสันดานเลิฟคราฟท์ที่ชอบใช้ร้อยแก้วแบบโจ่งแจ้งแอ๊ดเจคทีฟเยอะมาพรรณนาสิ่งที่เมื่อตอนต้นเรื่องหรือต้นย่อหน้าบอกว่า “เกินจินตนาการจนบรรยายไม่ได้” ซะจนหมดเปลือก แต่กลับยังสามารถตรึงความตึงเครียดลี้ลับในเนื้อเรื่องไว้ได้ชะงัดนัก ก็ทำให้หลักคำสอนที่ได้ยินกันบ่อยๆจนน่ารำคาญเวลาไปเข้าเวิร์คช็อปวิชชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (creative writing) ที่ว่า Show, don’t tell. แลดูไม่ค่อยจะศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่แล้ว ยังกับว่าภาษาต่อให้รีดเค้นตัวมันออกมาทุกเม็ดแล้วก็ยังไม่มีปัญญาจะพาเราเข้าถึงสิ่งที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ให้สมราคาคุยของมันหรอก ว่ากันง่ายๆข้าพเจ้าจะบอกว่า หนึ่งในมรดกวรรณคดีอเมริกันของเลิฟคราฟท์ก็คือการที่แกบังเอิญทำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ในแง่บวกที่อยู่รางๆเลยกำแพงสัญระเบียบ (Symbolic Order) ออกไป
Encounter in Lovecraftian Hyperrealityตัวบทคือสัญระเบียบ
ลองดูบทบรรยายในเรื่องยาว สิ่งกระซิบในความมืด (The Whisperer in Darkness) นี้ก็ได้ ตอนที่เป็นจุดไคลแม็กซ์ของนิยาย เมื่อตัวผู้เล่าเรื่องค้นพบความลับของกาแล็คซี่ขึ้นมาจากการได้รู้ความจริงว่า เฮนรี่ เอคคลี่ จ้าวบ้านของเขาที่นั่งกระซิบอยู่ในห้องมืดตื๋อตามชื่อเรื่องนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่หุ่นขี้ผึ้งใครชักใยอยู่ไม่รู้ของเอคคลี่ตัวจริงที่โดยนัยตามท้องเรื่องนั้นก็คงโดนพวกแมลงต่างดาวชาวยักก็อธ 1 สูบสมองใส่โหลแก้วเอาไปสะสมบนหิ้งที่ขอบระบบสุริยจักรวาลซะแล้ว เนื้อเรื่องตรงนี้มีท่อนหนึ่งบรรยายว่า “ . . .เมื่อแรกเลยนั้นข้าก็แสยงสะดุ้งเมื่อได้ฟังถึงมหันตโกลาหลแก่นกลียุคที่อยู่เลยพ้นไปจากขอบเขตวิสัยของอวกาศจักรวาลอันมีเหลี่ยมมีมุมของเรานี้ กลียุคที่ สมุดคนตาย ได้เมตตาอำพรางไว้ด้วยชื่อเรียกที่ว่า อาซาท็อท” ไอ้ธีมของความรู้ต้องห้ามที่ถ้าคนได้รู้ได้อ่านแล้วต้องเกิดบ้าขึ้นมาแน่นอนนี่เป็นธีมที่เลิฟคราฟท์ชอบใช้ ไม่ต้องไปพูดถึงมันมาก แต่ที่น่าสนใจคือที่เลิฟคราฟท์ใช้วลีว่า “เมตตาอำพรางไว้” (“mercifully cloaked”)
ในโลกนอกบทของเลิฟคราฟท์ ไอ้การอำพรางนี้มีตัวอย่างให้ดูหลายกรณีที่มันโดนเอาไปใช้ในธุรกิจจำพวกหากินกับพวกเรื่องเหนือธรรมชาติหรือชมรมลึกลับหลอกเอาตังค์ เช่น การที่มีคนเขียน สมุดคนตาย (Necronomicon) ขึ้นมาแล้วหลอกว่ามันมีอยู่จริง หรือการที่ชื่อสัตว์ประหลาดเทพทวยไท้ของเลิฟคราฟท์ไปโผล่ในบทสวดของลัทธิซาตาน“เสรีนิยม”ฝ่ายขวาของแอนตั้น ละเว่ย์ (Anton LaVey) เป็นต้น แต่ใครที่ได้อ่านเจาะลึกไปถึงปรัชญาและความเชื่อส่วนตัวของเลิฟคราฟท์ก็จะแย้งได้ทันทีว่า เฮ้ย ไอ้คำว่า เหนือธรรมชาติ ที่เลิฟคราฟท์พูดถึง มันไม่เกี่ยวสถานะเชิงประจักษ์ของสิ่งนี้สิ่งนั้นที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์กำลังถกเถียงกันอยู่ตามสภาพขีดจำกัดการพัฒนาของมัน แต่มันเกี่ยวกับสถานะของขีดจำกัดนี้ที่เป็นจอภาพให้เราจ๊ะเอ๋ค้นพบสิ่งที่ “ไม่อาจรู้ถึงได้” โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงสถานะเชิงประจักษ์ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของวรรณคดีตั้งแต่แรกแล้ว สรุปคือคำว่า “ธรรมชาติ” ในคำว่าเหนือธรรมชาติ มันไม่มีความหมายถ้าเรายึดติดว่ากฎของธรรมชาติ ที่พอเลยขอบเขตของวิทยาศาสตร์ไปแล้วมันโดนแหกเนี่ย เป็นกฎที่เป็นผืนแผ่นเดียวกันครอบคลุมไปตลอดสุดทุกสรรพสิ่งในอวกาศจักรวาล พออธิบายอย่างงี้แล้วอาจทำให้นึกถึงไอเดียเรื่องอุตรภาพ (Transcendence) ของนักปราชญ์ อิมมานูเอว ค้านท์ (Immanuel Kant) แต่จากหลักฐานทางชีวประวัติก็จะเห็นว่าเลิฟคราฟท์เคยแต่อ่านเกี่ยวกับปรัชญาของค้านท์จากแหล่งข้อมูลชั้นสอง 2 แถมเลิฟคราฟท์ยังไงก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับการมีความหมายในตัวของ Thing-in-itself ของค้านท์อย่างแน่นอน ถ้าอย่างงั้นแล้วอาซาท็อทมันน่ากลัวตรงไหน
ความจริงแท้ (The Real) ในเชิงจิตวิเคราะห์สายละค็อง (Lacan) นั้นสามารถอธิบายได้ในหลายแง่ หนึ่งในนั้นก็คือ ความจริงแท้หมายถึงประสบการณ์ทั้งหมดของอัตตะตนหนึ่งที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการสัญระเบียบ ยังไม่ได้หรือยังไม่สามารถพูดหรือคิดนึกประสบการณ์เหล่านั้นผ่านสัญลักษณ์ตัวอักษรของภาษาได้ ความจริงแท้นี้ไม่มีวันหมดสิ้นเพราะแต่ละคนก็ผ่านประสบการณ์ตามอัตวิสัยเรื่อยๆ และการจะพูดจะคิดนึกประสบการณ์เหล่านี้ให้หมดจนไม่เหลืออะไรที่เราไม่รู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเรานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ อาซาท็อทก็เปรียบเป็นชื่อเรียกโดยรวมของสิ่งที่เรายังไม่มีภาษาจะไปใช้เรียกนี้ เป็นตัวเรียกแทนจุดมืดบอดในจิตสำนึกและความมืดบอดอันเป็น “ธรรมชาติ” ของจิตใต้สำนึก ทางเดียวที่จะพูดถึงสิ่งที่ไม่อาจพูดถึงได้คือการให้ชื่อมันไปใช้ก่อน จารึกไว้บนหน้ากระดาษของ สมุดคนตาย ซึ่งในงานเขียนนิยายของเลิฟคราฟท์โครงสร้างการเล่าเรื่องหลักๆก็อุปมาเป็นการแปลงความจริงแท้สู่สัญระเบียบนี้ กล่าวคือพวกตัวละครหลักต่างๆพอไปเจอประสบการณ์พิสดารเหนือธรรมชาติอะไรมาแล้วก็มารีบๆเขียนเป็นบันทึกให้ท่านผู้อ่านได้เข้าถึงประสบการณ์นั้น ไอ้ตัวบทที่ตัวละครเขียนขึ้นมาตรงนี้คือการสร้างระยะห่างระหว่างอัตตะตนกับความจริงแท้ เพราะในนิยามของละค็องแล้ว ความวิกล (psychosis) คือการที่ระยะห่างเชิงสัญลักษณ์นี้หายไป ไม่สามารถใช้ภาษาสัญลักษณ์มาควบคุมประสบการณ์ในความจริงแท้ที่ไหลทะลักออกมาได้ มีตัวอย่างให้เห็นในเรื่องยาว เงามืดผิดกาลเวลา (The Shadow Out of Time) ที่สัญระเบียบกลายเป็นจอฉายให้เห็นความจริงแท้โดยตรง คือในจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ตัวเอกเล่าให้ผู้อ่านและจิตแพทย์คนหนึ่งฟังว่า ตอนหลงไปในทะเลทรายเขาได้ไปพบซากปรักหักพังของห้องสมุดโบราณอายุเกินล้านล้านปี แล้วไปเจอว่าบนหน้าหนังสือเล่มหนึ่งในซากห้องสมุดนั้นมีลายมือของตัวเองเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ!!! สันดานของตัวเอกของเลิฟคราฟท์ก็เป็นเช่นนี้คือชอบไปหาเรื่องหาความวิกลจริตมาใส่ตัวทั้งๆที่ปากก็บอกว่าปล่าวนะ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทำไม่สำเร็จเพราะมีคนช่วยหรือช่วยตัวเองไว้ได้ทัน เช่นในเรื่อง เดก้อน (Dagon), บทเพลงของเอริช ซานน์ (The Music of Erich Zann), นิมิตรมหากาพย์เทพวิหารลี้ลับ (The Dreams Quest of Unknown Kadath) ฯลฯ และกรณีที่ตัวเอกทำสำเร็จ คือสามารถก้าวข้ามธรณีประตูระหว่างความเป็นจริง (Reality) กับความจริงแท้ไป ซึ่งในกรณีหลังนี้ทั้งผู้อ่านและเลิฟคราฟท์ก็จะไม่อาจก้าวผ่านธรณีประตูนี้ตามไปได้หรอก ไม่สามารถโดดน้ำตาม รอเบิร์ต โอล์มสเต๊ด “ . . .ดำดิ่งผ่านแนวปะการังมืดทึบ ทะลวงใจกลางหุบมรณะสู่สมุทรนครใหญ่ยักษ์โอ่โถงยานทเลย์ . . . ” อารมณ์ก็เหมือนเวลาลองนั่งนอนคิดดูว่าพอเราตายไปแล้วจิตสำนึกมันจะมีสภาพรับรู้เป็นยังไง ยิ่งคิดยิ่งจะบ้า คำตอบที่ได้มีแต่ความมืดมิดอันไร้รูปร่าง ไร้สสารใดใดทั้งสิ้น ก็เลยขอถือโอกาสใช้ละค็องเติมท้ายภาษิตของเลิฟคราฟท์ว่า ความหวาดกลัวต่อสิ่งลึกลับที่ไม่อาจรู้3 เป็นความกลัวแบบอวัตถุ คือไม่ได้มีวัตถุให้กลัว มีแต่ความกลัวที่ฝังอยู่ภายในสภาพวัตถุสัมพันธ์ (object relations) เท่านั้น
We are what the gods dream of: Humanity as the Lost Object
มนุษย์คือฉากประกอบฝันของเหล่าเทพทวยไท้
ความฝันเป็นกลยุทธ์การประพันธ์ที่เลิฟคราฟท์ชอบใช้อยู่เหมือนกัน ถึงขนาดสามารถแยกงานส่วนหนึ่งมาไว้ภายใต้ป้ายชื่อ Dreamlands Cycle ได้4 ถ้าลองอ่านดูแล้วก็อาจเถียงได้ว่ามันเหมือนความฝันตรงไหนเพราะ Dreamlands แดนเนรมิตของเลิฟคราฟ์มันดูจะเหมือนมิติคู่ขนานแนวแฟนตาซีที่ใครๆก็สามารถเข้าไปอยู่อาศัยเป็นชีวิตที่สองได้ผ่านการนอนหลับแล้วฝัน ถึงกระนั้นก็มีประเด็นสภาพวัตถุสัมพันธ์อยู่ที่ตัวละครหลักสองตัวของเรื่องสั้น เซเลฟเฟส (Celephaïs) กับเรื่องยาวนิมิตรมหากาพย์เทพวิหารลี้ลับ (The Dream-Quest of Unknown Kadath) คือคนจรไร้นามผู้ครองราชย์แดนฝันในนามราชันย์คูเรเนสและนายแรนดอล์ฟ คาเต้อ สองคนนี้มี “วัตถุ” ที่ตั้งมั่นเป็นของวิเศษให้ตามหาดุจจอกศักดิ์สิทธิ์ของอาเธอร์ คือ สถานะชนชั้นขุนนางนิวอิงแลนด์เงินเก่าของโคตรเหง้าที่ตกต่ำไปตามสภาพทุนนิยมอเมริกา5 กับเมืองวิเศษที่เห็นอยู่เรือนรางในความฝันซึ่งสุดท้ายเฉลยว่าคือบ้านเกิดเมืองนอนตอนเด็กที่บอสตั้นแมสซา เราสามารถอ่านวัตถุที่สูญหายไปในอดีตของสองคนนี้ให้ตรงตามนิยามวัตถุที่สูญหาย (Lost Object) ของฟรอยด์และละค็องที่ว่า วัตถุที่เรายึดติดตามหาอยู่ในอดีตนั้นจริงๆแล้วมันไม่เคยมีสถานะอื่นนอกจากการที่มัน “หายไป” เราไม่เคยเจอวัตถุนี้มาก่อนนอกจากในสภาพที่เรามโนไปเองในอดีต6 อัตตะตนหนึ่งจะรับรู้ว่าวัตถุชิ้นหนึ่ง “มันหายไปจากชีวิตของฉัน” ก็ต่อเมื่ออัตตะตนนั้นทึกทักเอามันไปวางไว้ในความเพ้อฝัน (fantasy) เท่านั้น
บทเรียนหนึ่งที่ละค็องสอนโดยอ้อมก็คือการรับผิดชอบความเป็นอัตตะตนหนึ่งของเรา ซึ่งอาจจะขัดกับกระแสจิตวิทยาตะวันตกบางกระแสที่ชอบอ้างเหตุผลปัจจัยระหว่างบุคคลและปัจจัยสภาพสังคมภายนอก มาใช้อธิบาย “สุขภาพจิต” ของผู้รับการวินิจฉัยไม่ว่าจะตามคลินิกหรือแบบสอบถามเองบนอินเตอร์เว็บ (Interwebs) ซึ่งก็แน่ละว่าปัจจัยดังกล่าวมันมีผลต่อ “สุขภาพจิต” ของทุกผู้คนแน่นอน แต่ว่าแล้วไงต่อ? คำถามนี้เราสามารถใช้ย้อนถามคำวิเคราะห์ของนายเอสที โจฉี (ST Joshi) ในตำรา เรื่องปลาด (The Weird Tale) ที่ว่าดรีมแลนด์แดนเนรมิตของเลิฟคราฟท์มันไม่สะท้อนสะเทือนใจผู้อ่านเท่าไหร่นักเพราะว่าเลิฟคราฟท์ “ไม่ได้ตั้งใจให้มันมีความหมายอะไร แล้วมันก็ไม่มีความหมายตามที่ไม่ได้ตั้งใจไว้นั่นแหละ”7 . . . แล้วไง? สักแต่วิเคราะห์มาได้ไง ยังกับว่า “ความไม่ตั้งใจ” ของผู้เขียนมันไม่สำคัญซะงั้น ลองจับโจฉีมาห้อยหัวแล้วลองอ่านใหม่ว่า “ที่มันไม่สะท้อนสะเทือนใจคนอ่านจริงๆ ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรในเรื่องราวเหล่านี้ที่เราควรจะไปสะท้อนสะเทือนใจด้วยต่างหาก” ยกตัวอย่างจากเรื่อง เซเลฟเฟส ถ้าลองอ่านแบบไม่เออออตามบทที่เลิฟคราฟท์วางไว้ให้เดินตามรอยความทรงจำฝันหวาน เราก็จะเห็นว่ามหานครเซเลฟเฟสมันเป็นฝันร้ายเหมือนโปรแกรมเดอะเมทริกซ์ไม่ผิด ราชันย์คูเรเนส “สร้างหุบเขาอู๊ดนาไกลขึ้นมาในความฝันเฟื่องของเขา ชาวบ้านชาวพลเมืองในแดนเนรมิตต่างจึงยกเขาขึ้นหิ้ง อัญเชิญเป็นเทพธรรมาภิบาลคุ้มครองบ้านเมืองสืบไปตลอดกาลนานเทอญ”8 ชาวบ้านชาวเมืองที่มายกให้คูเรเนสเป็นเทพนี้ ที่จริงแล้วตามที่ปูเนื้อเรื่องไว้มันควรจะเป็นพวกมนุษย์ที่มาจากมิติโลกความเป็นจริงนั่นแหละที่เข้ามามีส่วนร่วมอาศัยอยู่ในมิติเนรมิตชีวิตที่สองนี้ แต่เลิฟคราฟท์บรรยายเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเหล่านี้ของทั่นผู้ดีเก่าให้เหมือนเป็นแค่ตัวประกอบฉากเท่านั้น บรรยายมวลมนุษย์ที่ควรจะมีความคิดเป็นของตัวเองให้กลายเป็นมนุษย์ชั้นต่ำผ่านการวางตัวเรียบร้อยระเบียบหมู่ในพิธีบรมราชาภิเษก นี่แหละคือโฉมหน้าที่แท้จริงของคำว่าแฟนตาซี ภายในแดนเนรมิตที่เป็นเวทีหนึ่งของจิตใต้สำนึกนี้ แทนที่เราจะค้นพบตัณหาต้องห้ามฝังลึกอยู่ในใจที่อย่างน้อยก็เอาไปอวดจิตแพทย์ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเราที่แท้จริงนะ เรากลับพบแต่การทำงานอัตโนมัติของสัญระเบียบอันเป็นอื่น (The Symbolic Other) กล่าวคือ คูเรเนสได้รับสถานะความเป็นกษัตราธิราชจ้าว (คือไรวะ) จากข้าทาสบริวารที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจความเพ้อฝันของคูเรเนสผู้ได้รับสถานะความเป็นกษัตราธิราชจ้าว (คือไรวะ) จากข้าทาสบริวารที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจความเพ้อฝันของคูเรเนสผู้ได้รับ . . .ฯ เป็นวงเวียนอุบาทว์งูกินหางขี้ออกมาเป็นหางให้ตัวเองกินไปไม่มีที่สิ้นสุดสืบไปตลอดกาลนานอย่างที่ว่า บทเรียนหนึ่งของละค็องตรงนี้ก็คือ ความเพ้อฝันหรือแฟนตาซีมันมีอำนาจเหนือความรู้สึกนึกคิดจนแทบจะแยกมันจากกันไม่ออก อีกตัวอย่างตัวละครวิกลจริตที่เข้าใจได้ง่ายกว่าแต่จริงๆมีโครงสร้างความวิกลเหมือนกัน คือตัวละครฉายากษัตริย์คลั่ง (Mad King) ในซีรี่ยส์ดัง มหาศึกชิงบัลลังก์ (Game of Thrones) (ชิงกันทำซาก?) ซึ่งฉายานี้มีคนตั้งให้ก็ตอนที่ตัวกษัตริย์เริ่มใช้ความชอบธรรม(ตามอำนาจรัฐกำหนด)สั่งประหารประชาชน คูเรเนสกับกษัตริย์คลั่งอาจเป็นผลพวงจากวัตถุสภาพที่แตกต่างกัน แต่ในทางหลักการแล้วความวิกลจริตของทั้งสองมาจากแหล่งเดียวกันคือสถานะความเป็นกษัตริย์อันเป็นเพียงนิยาย อย่างที่ละค็องว่าไว้ “ถ้าคนที่คิดว่าตัวเองเป็นกษัตริย์เป็นคนบ้า กษัตริย์ที่คิดว่าตัวเองเป็นกษัตริย์ก็บ้าพอกัน”9 เพราะฉะนั้นพอรู้อย่างงี้แล้วคราวหน้าสมมุติเวลาเราไปเดินห้างสรรพสินค้า สมมุตินะครับ ในประเทศสมมุติแถบทวีปยุโรปในโลกต่างมิติสมมุติขึ้นมา พลันหันขวับไปเห็นชายแก่แต่งตัวโชว์พุงพลุ้ยครึ่งโป๊เดินดุ่ยๆแบบไม่แคร์ใคร เราไม่ควรไปว่าเขาว่าบ้าเพราะเขาแต่งตัวแบบนั้น มันเป็นแค่ความสุขส่วนตัว อย่างน้อยเราควรจะเอาเขามานั่งจับเข่าคุยกันก่อน อย่างน้อยดูว่าเขาใช้ภาษาพูดเรียกเราในบทสนทนายังไง ถึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วบ้าขนาดไหน
จากตัวอย่างราชันย์คูเรเนสที่ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมืองดังที่ได้อธิบายไป ท่านผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจับเค้าได้แล้วว่าในประเทศอันเจริญ(ด้วยการปล้นทรัพยากรจากชนชาติอื่น)แล้วอย่างสหรัฐมะกัน มันก็มีสิ่งที่เรียกว่าสลิ่มอยู่ หนึ่งในคราบของมันก็คือพวกคลั่งยึดติดปรัชญาโลกร้ายนิยมอย่างเลิฟคราฟท์ ที่ใส่เสื้อยืดสีเทาดำอึมครึมยังกับชาวอีโมแต่ซ่อนเสื้อรองในสามสีสดใสของความเป็น poser เอาไว้ (หยอกชาวอีโมเล่นนะคร้าบ >.<”) คือปากชอบอวดถึงศีลธรรม, อารยธรรม และความเชื่อที่ว่ามนุษย์มันเป็นสิ่งเล็กน้อยด้อยค่าภายในอนันตจักรวาล แต่เอาเข้าจริงในงานเขียนของตัวเองพอมีสิ่งที่เรียกว่า อำนาจ ปรากฏอยู่ อำนาจกลับกลายเป็นสิ่งชอบธรรมตามพฤตินัยโดยอัตโนมัติ เช่น อาณาจักรศักดินาตลอดกาลของคูเรเนส, ไม่ก็ตอนที่รัฐบาลกลางมะกันใช้ตอร์ปิโดถล่ม ใช้กำลังทหารเข้าล้างบางเมืองอินสะเม้าในเรื่องยาว กาเหว่าที่อินสะเม้า (The Shadow Over Innsmouth)10, แม้แต่ที่ทั่นจ้าวปางอื่น นยาละโทเท็ป ได้เสด็จมาทรงโปรดสัตว์โลกในเรื่องสั้น นยาละโทเท็ป (Nyarlathotep) ก็แทบจะเหมือนข่าวพระราชกรณียกิจหรือตอนหนึ่งจากพุทธประวัติยังไงยังงั้น11 ว่ากันง่ายๆก็คือ “ปรัชญา”ของเลิฟคราฟท์จริงๆมันคือการคงสภาพอำนาจรัฐภายใต้หน้ากากความคลั่งไคล้ปรวิสัย ความคลั่งไคล้การใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นข้ออ้าง ก็ไม่อยากจะว่าเลิฟคราฟท์ว่าขี้ขลาด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอุปมาระหว่างความพยายามอัน “ล้มเหลว” ของเขาที่จะเกณฑ์ทหาร (คือเออออตามป้าที่ออกมาวิ่งเต้นว่าร่างกายอ่อนแอ) เพื่อร่วมต่อสู้ในสงครามฝรั่งครั้งที่ 1 ([Farang’s] World War I) กับคำอ่านของอะเลง บะดยิว (Alain Badiou) ที่อ่านสิ่งที่เรียกว่า “ทหาร” (ไม่ใช่ “นักรบ”) ในบทกวียุคร่วมสมัยว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนวีรบุรุษแห่งประชาธิปไตย เป็นตัวแทน “พลังของสัตว์มนุษย์ที่สามารถสร้างสรรค์ผลักดันให้เกินขีดความสามารถของตัวเองออกไป”12
Some Traversals Old and Newประยุกต์ใหม่ปลาดคดี
ใน สมมติฐานคอมมูนิสท์ (The Communist Hypothesis) บะดยิวกล่าวไว้ “การเมืองเป็นสิ่งที่แยกตัวออกจากอำนาจปกครองโดยสิ้นเชิง . . . การเมืองแสดงให้เราเห็นว่าความเท่าเทียมกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความเท่าเทียมเป็นของมนุษย์ทุกผู้คนอย่างแท้จริง”13 ท่านผู้อ่านเคยได้ยินนิยามของการเมืองแบบนี้ในการสนทนาสาธารณะหรือไม่ ปัจจุบันคำว่าการเมืองถูกทำให้ฟังดูเป็นเรื่องร้าย ถูกผูกขาดโดยกลุ่มอำนาจทำให้เป็นสิ่งจำเพาะ ยกตัวอย่างแบบง่ายๆในประเทศไทย มีมนุษย์เอกชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ เป็นกลุ่มที่เค้าว่ากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือเวที “การเมือง” ที่เหล่า “นักการเมือง” อันเป็นมนุษย์ชั้นต่ำกว่า แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นชิงเก้าอี้ชิงผลประโยชน์ส่วนตน บุคคลกลุ่มนี้อยู่ในโลกต่างมิติคู่ขนานที่มนุษย์ได้แต่จินตนาการว่ามันเป็นยังไงเช่นเดียวกับอาซาท็อทและจ้าวปางอื่นองค์อื่นๆในนิยายของเลิฟคราฟท์ ผลที่ตามมาก็คือในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากภาษาไทยทางการ, ประวัติศาสตร์ไทยทางการ, และศาสนาไทยทางการอันเป็นอื่น มันทำให้คำว่าการเมืองมีความหมายในแง่ลบว่าเป็น “การอำนาจ” ดังนั้นตามมารยาทชาวพุทธไทยอันดีงามเราจึงไม่ควรพูดเรื่องการเมืองเวลากินข้าว, ในห้องเรียน, บนรถไฟฟ้า, ในที่ทำงาน, ห้ามถ่ายทอดมาเป็นงานศิลป์, หรือแม้แต่จะเอาไประบายให้จิตแพทย์ฟังก็ยังติดลำคออยู่ และอื่นๆ สิ่งที่บะดยิวและเหล่ามาร์กซิสท์ทั้งหลายเอากลับมาให้ประชาคมโลกก็คือคำว่าการเมืองที่ใส่เขี้ยวเล็บกลับเข้าไปแล้ว คือการเมืองที่มีความหมายในแง่บวกว่า “กิจการการปลดปล่อย” เป็นกิจการที่เราอาจจะลืมไปแล้วในยุคทุนนิยมนีโอลิเบอรัล
ถ้าเราใช้คำนิยามการเมืองอย่างหลังนี้ ก็จะเห็นได้ว่างานเขียนของเลิฟคราฟท์ไม่มีเนื้อหาทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น เป็นเนื้อหาการอำนาจทั้งนั้น ขนาดสัตว์ประหลาดต่างๆ ของเลิฟคราฟท์ยังแยกเป็นชนชั้นไปตามพลัง บนสุดมีอาซาท็อท ล่างสุดมีเมือกผู้ต่ำต้อยช็อกก็อธจากเรื่องยาว ณ เทือกเขาวิกลจริต (At the Mountains of Madness) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยต่างดาวชาว Elder Things เพื่อใช้เป็นแรงงานโดยเฉพาะ ก็ตามระเบียบจินตนาการสลิ่มของเลิฟคราฟท์ พอช็อกก็อธก่อ “กบฏ” ผลที่ตามมาก็คืออารยธรรมพังพินาศ เป็นจุดจบเดียวกับที่เลิฟคราฟท์สาปแช่งไว้แก่เหล่าโบลเชวิครัสเซีย, กระแสการเคลื่อนไหวของชนชั้นแรงงานในสหรัฐมะกัน14, และมนุษยชนที่ผิวไม่ใช่สีขาว ถึงตรงนี้ก็สรุปได้ว่าเลิฟคราฟท์ยอมแพ้ต่อความจริงแท้ถึงสองครั้ง คือ 1) ตัวอาซาท็อทบ่งบอกถึงหลุมดำในความเป็นจริงทางปรัชญา และ 2) ตัวช็อกก็อธบ่งบอกถึงความเสื่อมสมรรถภาพทางการเมืองของเขา ไม่แปลกที่ ไชน่า มีวิลล์ (China Miéville) เลือกที่จะประยุกต์ปลาดคดีกระแสใหม่โดยเริ่มจากการอ่านช็อกก็อธใหม่ จากที่เป็นสัตว์ประหลาดไร้จิตวิญญาณกลายเป็นสัตว์ประหลาดกรรมาชีพตัวสำคัญในนิยายแนวซายฟาย15 เหตุที่ตอนนี้เลิฟคราฟท์ยังโลดแล่นในกระแสวิจารณ์อยู่ก็เพราะยังมีคนพูดถึงเลิฟคราฟท์ผ่านกระบวนการวิภาษเช่นนี้ นอกกระบวนการนี้แล้วก็จะเจอแต่เลิฟคราฟท์ที่ถูกยกให้เป็นวัตถุตายตัว เช่น เวลามีนักเขียนคนอื่นออกมาวิจารณ์ความสลิ่มของเลิฟคราฟท์ อีตาโจฉีก็จะออกมาด่านักเขียนคนนั้นซะยับ, เวลาที่พวกวิเดโอเกมส์หรือการ์ตูนหยอดชื่อเลิฟคราฟท์ผ่านๆแบบขอไปทีให้ตื่นตาตื่นใจผู้บริโภค, หรือเวลาที่ถูกใช้เป็นวัตถุเอาไปครุ่นคิดมากทางอภิปรัชญาอย่างเช่นหนังสือ ในเถ้าถุลีของโลกใบนี้ (In the Dust of This Planet) ของยูจีน แธ๊กเก้อ (Eugene Thacker), และอื่นๆ
สภาพวัตถุตายตัวที่ถ้าสลิ่มตัวพ่ออย่างเลิฟคราฟท์ยังมีชีวิตอยู่คงคิดว่าน่าอายที่สุด ก็มาจากโจฉีอีกนั่นแหละ ในหนังสือชีวประวัติของเลิฟคราฟท์เล่มที่มีวิชาที่สุดในโลก ข้าคือโพรวิเด๊นซ์ (I Am Providence) โจฉีกล่าวไว้ว่า ที่เลิฟคราฟท์เกลียดชังประชาธิปไตยนั้นเห็นอยู่ชัดๆว่ามาจากฐานปรัชญาของนายนีทชี่16 (Nietzsche) แล้วตัดเอาโคว้ตหนึ่งของนีทชี่มาจากหนังสือ ตะวันลับขอบฟ้า เหล่าเทวรูปบอกลา บ๊ายบาย (Twilight of the Idols) “ ข้าพเจ้า . . . สรุปลักษณะของประชาธิปไตยร่วมสมัยได้ว่า . . . มันคือสภาพรัฐที่กำลังผุพังลงนั่นเอง” เลิฟคราฟท์ตายมาแปดสิบกว่าปีแล้วก็ยังมีเสียงอันเป็นอื่นคอยพูดแทนอยู่ตลอด แต่กลายเป็นว่าเสียงอันเป็นอื่นของโจฉีที่เสื่อมสมรรถภาพอยู่ต่อหน้ากระแสประวัติศาสตร์นี้ได้หลุดปากออกมาช่วยยืนยันความจริงทางการเมืองอันเป็นความจริงแท้ของคอมมูนิสซึ่ม ที่หาได้อยู่ในคำพูดของใครอื่นนอกจากสหายเลนินที่ว่า “ยิ่งสิ่งที่เรียกว่ารัฐยิ่งเป็นประชาธิปไตยมากเท่าไหร่ . . . รัฐก็จะยิ่งเริ่มเหี่ยวแห้งลงเร็วเท่านั้น”17 ก็จริงอยู่ที่ว่าความกลัวความเสมอภาคของเลิฟคราฟท์มันเป็นสายนีทเชี่ยนอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่สำคัญกว่านั้นมันมีนัยความเป็นเลนินนิสท์แฝงอยู่!!!
ด้วยความที่อัตตะตนของพวกหลับหูหลับตาคลั่งเลิฟคราฟท์ดูจะยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รับรู้ถึงความรุนแรงของความเพ้อฝัน ข้าพเจ้าจึงขอหวนกลับไปหาความเป็นไปได้ใหม่ในเรื่องสั้น สบายสบายล่องน้ำจ้าวพระญานน์ (Idle Days on the Yann) ของพระยาดันเซนี่ (Lord Dunsany) ไอด้อลของเลิฟคราฟท์ เป็นการส่งท้ายด้วยปลาดคดีประยุกต์หนึ่งเพลงรบ ในวันฟ้าใสสบายสบายวันหนึ่งขณะล่องแม่น้ำจ้าวพระญานน์ เรือใบสินค้า Bird of the River มาเทียบท่า ณ เมืองมานดารูน ตัวเอกลงจากเรือไปเดินเล่นจนมาถึงประตูเมือง เมื่อมองเข้าไปก็เห็นภาพพลเมืองมานดารูนหลับปุ๋ยกันหมด ทั้งหลับในบ้านทั้งหลับตามพื้นในตลาดเกลื่อนกลาดกันไปทั่ว ตัวเอกเดินมาที่ป้อมรักษาการณ์จะถามนายทวารว่าเกิดอะไรขึ้น นายทวารแก่หง่อมก็เอานิ้วชู่ปากให้เงียบๆ แล้วกระซิบให้ฟัง “ภายในทวารประตูนี้ห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสียงถามคำถาม ด้วยว่ากลัวชาวเมืองจะตื่นเถิดดดดด เพราะถ้าชาวเมืองนี้ตื่นขึ้นมาแล้วเหล่าทวยเทพก็จะถึงคราต้องม้วยมรณา แล้วพอเหล่าทวยเทพม้วยมรณาก็ถึงคราที่มนุษยชนจะไม่มีความฝันอีกต่อไป”18 มาแนวเดียวกับเซเลฟเฟซ ของเลิฟคราฟท์แต่ต่างกันที่จุดหักมุมสำคัญ ที่ในคำพูดของนายทวารยอมรับว่าการกดขี่คือเงื่อนไขข้อกำหนดหนึ่งในการดำรงความเพ้อฝัน ชาวมานดารูนซึ่งเป็นส่วนเกินเหลือของมนุษยชนทั้งหมดถูกบูชายัญให้เหล่าทวยเทพเอาไปสูบกินเลี้ยงชีวิตปรสิต ตรรกะสลิ่มจึงปั่นป่วนไปหมดพอได้เจอชาวเมืองมานดารูนตัวเป็นๆ เดินใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะแค่ความเป็นตัวเป็นๆเปล่าๆของชาวมานดารูนเท่านั้นแหละมันก็สื่อออกมาแล้วว่ามนุษยชนไม่จำเป็นต้องมีทวยเทพในชีวิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
- เลิฟคราฟท์เป็นพวกชอบดูดาวสมัครเล่น ชอบไปใช้บริการหอดูดาว Ladd Observatory ที่บ้านเกิดเมืองนอนโพรวิเด๊นซ์บ่อยๆ ดาวยักก็อธนี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่ค้นพบดาวพลูโต
- ใน ค.ศ. 1980 สนพ. เนโครโนมิค่อน (Necronomicon Press) ตีพิมพ์แค๊ตตาล็อกรวมรายการหนังสือในห้องสมุดส่วนตัวของเลิฟคราฟท์ ปรากฏว่าที่เลิฟคราฟท์ชอบโม้เกี่ยวกับโชเป็นอาวเอ้อ (Schopenhauer) และนีทชี่ในจดหมายหรือบทความบ่อยๆ ทั้งที่จริงๆไม่เคยมีงานเขียนของทั้งสองคนในความครอบครองเลย มีสองรายการที่จำแนกใต้หัวข้อ ปรัชญา คือหนังสือของนายจอห์น ฟิสคค์ (John Fiske) นักปราชญ์ “สายธรรมชาติ” กับนายเอิร์นส ฮัยค์เค้ล (Ernst Haeckel) นัก “วิทยาศาสตร์” ส่งเสริมความเหนือชั้นของเผ่าพันธุ์อารยันที่พวกนาซีเอาไปศึกษาต่ออย่างแพร่หลาย มีหนังสือเล่มเดียวของเลิฟคราฟท์ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาโมเดิ้นคือ ประวัติปรัชญา (The Story of Philosophy) ของนายวิล ดูแร้น (Will Durant)
- เลิฟคราฟท์เปิดบทความขนาดยาวใน ค.ศ.1927 ที่ชื่อ “เรื่องสยองขวัญเหนือธรรมชาติในวรรณคดี” (“Supernatural Horror in Literature”) ด้วยประโยคว่า “อารมณ์ที่เก่าแก่และแก่กล้าที่สุดของมนุษย์คือความกลัว และความกลัวที่เก่าแก่และแก่กล้าที่สุดคือความกลัวในสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้”
- ผู้ศึกษาปลาดคดีมาคงเห็นความคล้ายคลึงสุดๆระหว่างอาซาท็อทและเทพสูงสุดของพระยาดันเซนี่นาม มานะ-ยู้ด-สุชาย (Māna-Yood-Sushāi) จากเรื่อง ทวพเทพแห่งเพกานา (The Gods of Pegāna) ในอัตชีวประวัติเลิฟคราฟท์ก็ยอมรับว่าชื่อเหล่าทวยเทพไท้, ชื่อดวงดาวและสัตว์ประหลาด ก็ได้รับแรงบันดาลใจการตั้งชื่อมาจากพระยาดันเซนี่นี่แหละ ขอแนะนำให้ไปอ่าน ทวพเทพแห่งเพกานา เพราะนักเขียนแนวแฟนตาซีเมายา (High Fantasy) ยกย่องให้เป็นตัวอย่างการสร้างเทพปกรณัมสมัยใหม่ที่มีวิชาสูงส่งที่สุด
- HPL, “Celephaïs”, The Complete Fiction, (Barnes & Noble, 2011), 114.
- Bruce Fink, The Lacanian Subject, (Princeton University Press, 1997), 94.
- ST Joshi, The Weird Tale, (Wildside Press, 2003), 184. ในย่อหน้านี้โจฉีวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าการที่เลิฟคราฟท์เปลี่ยนวัตถุสูญหายในจินตนาการจากเซเลฟเฟซในเรื่องเซเลฟเฟซ ไปเป็นวัตถุสูญหายในโลกความเป็นจริงคือเมืองบอสตั้นแมสซาในเรื่องนิมิตรมหากาพย์เทพวิหารลี้ลับ ก็ส่อให้เห็นว่าเลิฟคราฟท์กำลังจะเริ่มใช้สัจนิยมมากขึ้นในงานเขียนยุคหลัง
- แปลเองขำเอง
- Jacques Lacan, “Presentation on Psychical Causality”, Écrits: The First Complete Edition in English, (W. W. Norton & Company, 2007), 139.
- HPL, “The Shadow over Innsmouth”, The Complete Fiction, 807.
- HPL, “Nyarlathotep”, The Complete Fiction, 121. “และตอนนั้นเองนยาละโทเท็บก็เสด็จมาโปรดจากอียิปต์ เขาเป็นใครไม่มีใครรู้แต่เขามีเลือดข้าเก่าไหลทั่วกายและเขามีหน้าตาเหมือนองค์ฟาโรห์ ชาวบ้านเลี้ยงแกะก้มกราบเมื่อเขาเสด็จดำเนินผ่านแต่ก็บอกไม่ได้ว่าก้มกราบไปทำไม”
- Alain Badiou, Philosophy for Militants, (Verso, 2015), 43.
- Alain Badiou, The Communist Hypothesis, (Verso, 2015), 14.
- HPL, “Bolshevism”, Collected Essays: Volume 5:Philosophy;Autobiography and Miscellany, edited by ST Joshi, (Hippocampus Press, 2006), 37-38.
- ถ้าสนใจการปฏิวัติปลาดคดี ให้ไปอ่านบทความ Sympathy for the Shoggoth: China Miéville’s Revolution of the Weird Tale (http://79.170.40.240/infiniteearths.co.uk/?p=509) ของ Christina Scholz ตัว Scholz เองได้สรุปตัวไชน่า มีวิลล์ได้เมาะเหม็ง: ถ้าเราเออออตามที่สตีเฟ่น คิง (Stephen King) ว่าไว้คือเลิฟคราฟท์เป็นจ้าวชายของปลาดคดี ไชน่า มีวิลล์ก็เปรียบได้เป็นนักปฏิวัติของวงการนี้
- ST Joshi, I Am Providence: The Life and Times of H.P. Lovecraft, (Hippocampus Press, 2010), 487.
- Vladimir Lenin, The State and Revolution, (Aziloth Books, 2017), 86.
- Lord Dunsany, “Idle Days on the Yann”, Tales of Three Hemispheres, (John W. Luce, 1919), 76.