คำตัดสิน “เขียนใหม่นายผี” – “อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!”

“มวลชนมุสลิม ซึ่งเปนชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยทั้งหลาย จะต้องเห็นอกเห็นใจกับนาดฺราและสามีของเธอ จะต้องคัดค้านจักรวรรดินิยมในการกระทำอันนี้ แน่นอน และประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ก็จะต้องเห็นอกเห็นใจและสนับสนุน
“อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!” บันทึกโดย กุลิศ อินทุศักติ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร การเมือง วันที่ 16 ธ.ค. 2493

งานเขียนชิ้นตั้งต้นของการประกวดเขียนใหม่นายผี รายการที่ 5 นี้ อัศนี พลจันทร ในนามปากกา กุลิศ อินทุศักติ หรือกุลิศ อินทุศักดิ์ ใช้คำว่า “บันทึก” มิใช่ “รายงาน” ในการเขียนบรรยายเหตุการณ์การประท้วงศาลจักรวรรดินิยมอังกฤษของชาวมุสลิมในสิงคโปร์ ที่มีชนวนมาจากเหตุภายในครอบครัวที่พรากสามีภรรยามุสลิมคู่หนึ่ง ซึ่งขยายผลเป็นการประท้วงและจลาจลในสิงคโปร์ อันเป็นที่รู้จักในโลกภาษาอังกฤษว่า Maria Hertogh riots  “บันทึก” ที่ว่านี้เน้นกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกผู้อ่านให้เห็นความชั่วร้ายของระบอบจักรวรรดินิยมอังกฤษดังที่ปรากฏในข้อเท็จจริง เป็นงานเขียนในท่วงทำนองของนักหนังสือพิมพ์ในยุคที่ “ความเป็นกลาง” ที่แสดงตนว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยังไม่ถือเป็นหลักการสำคัญเท่ากับ “ความเป็นธรรม” ในมุมมองของหนังสือพิมพ์ที่แสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนและต่อสู้เพื่อให้มุมมองนั้นเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชน

ความนับถือและร่วมมือร่วมใจที่อัศนี พลจันทร มีต่อชนมุสลิมมลายูได้รับการจดจำในตำนานเล่าขานของคนในพื้นที่ และได้ถูกแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งในข้อเขียนหลากหลายประเภท ดังเช่นบทความ “บริเวณ ๗ หัวเมือง” นิทานการเมือง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” และรายงานข่าว “อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!” ยังแสดงให้เห็นว่าความนับถือและร่วมมือร่วมใจนั้นไม่ได้ถูกขีดเส้นจำกัดด้วยศาสนาหรือชาติพันธุ์หรือพรมแดนรัฐ หากแต่การเข้าถึงและเข้าใจความจำเพาะเจาะจงของความเป็นมาและความเป็นไปของศาสนา ชาติพันธุ์ และพรมแดนรัฐนั้นๆต่างหาก ที่เป็นกุญแจไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจและการจับมือกันต่อสู้กับความอยุติธรรมจากอำนาจนานา–และการทำงานข่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้นั้น เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความรู้สึกมีชะตาเชื่อมโยงลึกซึ้งถึงกัน

——————

ผลการตัดสินรายงานข่าวประเภทข่าวเกี่ยวกับอินโดนีเซีย ติมอร์เลสเต มาเลเซีย บรูไน หรือสิงคโปร์

ไม่มีผู้ส่งผลงาน จึงไม่มีผู้ได้รับรางวัล

ผลการตัดสินรายงานข่าวประเภทข่าวเกี่ยวกับประเทศไทย

ไม่มีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ

แต่มีผลงานที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่

“ตันหยงกู โปลีติกกู” โดย ไพศอล บือราเฮง

รายงานข่าว เรื่อง ตันหยงกู โปลีติกกู

รายงานข่าวเชิงวิเคราะห์ชิ้นนี้นอกจากจะสอดรับกับวาระรำลึกการเสียชีวิตของฮัจยีสุหลง อับดุลกอเดร์ โต๊ะมีนา ดังที่โครงการฯ ตั้งวันที่เผยแพร่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ยังมีประเด็นข่าวที่อิงอยู่กับพลวัตในปัจจุบัน โดยมีจุดเชื่อมคือเส้นทางการเมืองของ เด่น โต๊ะมีนา ผู้เป็นบุตรของฮัจยีสุหลง และเป็นคนสำคัญในกลุ่มวะห์ดะห์ซึ่งคลี่คลายมาเป็นพรรคประชาชาติในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด การค้นคว้าและประมวลข้อเท็จจริงจนเห็นภาพกว้าง ไม่ติดอยู่แต่กับตัววาระการรำลึกดังกล่าว ส่งผลให้เห็นถึงวิวัฒนาการของแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีทั้งความต่อเนื่องและความขาดตอนหลังการเสียชีวิตของฮัจยีสุหลงเมื่อ 65 ปีที่แล้วมา การกลับมากวาดคะแนนเสียงเลือกตั้งอีกครั้งของกลุ่มวะห์ดะห์ในนามพรรคประชาชาติดังรายงานข่าวที่ผ่านการพิจารณาชิ้นนี้ จึงให้ทั้งความสงสัยใคร่รู้และให้สัญญาณที่น่าสนใจแม้ในภาวะปัจจุบันที่ยังคงยากจะมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลง

——————

“… เราต่างมีหน้าที่ของเรา เราต่างมีความรับผิดชอบของเรา ขอเราจงไปพบกันใหม่ในโลกหน้าเถิด แลขอโลกหน้าของเรานี้จงปราศจากอุปสรรค แต่โลกหน้าจะปราศจากอุปสรรคได้ก็ด้วยเราช่วยกันสร้างแต่ในโลกนี้ในเวลานี้  ขอให้โลกหน้าจงเปนแผ่นดินอันราบเสมอกัน ขอน้ำจงไหลขึ้นลงแต่ทางเดียว ขอจงมีต้นกัลปพฤกษ์ขึ้นอยู่ ณ สี่มุมเมือง ขอคนจงอิ่มอยู่เสมอแลไร้กิเลศ ขอจงปราศจากชาติแลศาสนาซึ่งต่างกัน ขอชาติทั้งหลายจงเปนชาติเดียว ขอศาสนาทั้งปวงจงเปลี่ยนเปนศาสนาเดียว ขอมนุษย์ชาติจงตั้งขึ้นแลดำเนินไปตามกฎหมายเดียวคือมนุษย์ธรรม ขอสัจจศาสนาจงตั้งขึ้น แลดำเนินไปตามวินัย คือสัจจธรรม.”
—บทสนทนาสุดท้ายระหว่างฟาตีมะห์กับกุลิศ อินทุศักดิ์ ในนิทานการเมืองเรื่อง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” โดย อินทรายุธ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน มหาชนรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2491

ประกาศ ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2562

ในวาระรำลึกการเสียชีวิตของ ฮัจยีสุหลง อับดุลกอเดร์ โต๊ะมีนา เมื่อปี 2497