Still Lives No. 3 รสมาลิน ตั้งนพกุล

รสมาลิน ตั้งนพกุล – ป้าอุ๊

ภาพนี้ถ่ายที่พงหญ้าคาข้างบ้านหลังเก่าก่อนที่เราจะแยกย้ายกลับบ้าน

ผมพบป้าอุ๊เป็นครั้งที่สอง ก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือที่ป้าอุ๊เขียนมาก่อนแล้ว รักเอย เป็นหนังสือที่ป้าอุ๊เขียนเล่าเรื่องอากงเพื่อเป็นที่ระลึกถึงความทรงจำของการพบ การจากลา และสิ่งที่หลงเหลือระหว่างทาง  “อากง” สามีของป้าที่เสียชีวิตในเรือนจำจากคดีอาญามาตรา 112

ป้าอุ๊อยู่ในช่วงที่กำลังวุ่นสาละวนกับการสร้างบ้านแห่งใหม่และเก็บข้าวของจากบ้านหลังเก่า บ้านหลังใหม่ของป้าอุ๊เป็นไร่โล่งเตียนที่เช่าไว้เพื่อปลูกเพิงหลังย่อมง่ายๆ ใช้งบประมาณอย่างประหยัดเพื่ออยู่กับหลานและเหลน ป้าเล่าว่ากำลังวางแผนจะปลูกกล้วย ปลูกอ้อย ไม้ยืนต้นบางพันธุ์ให้ร่มเงาและบังแดดร้อนแรง จะเว้นที่ปลูกพืชไร่ตรงนั้น จะขุดบ่อตรงนี้ แผนผังสำเร็จรูปคงอยู่ในหัวสมองของป้าเรียบร้อย

ป้าอุ๊เป็นคนชอบต้นไม้ บ้านหลังเก่าตอนที่ย้ายเข้าไปใหม่ๆ เดิมก็เป็นที่โล่งร้างแล้ง แต่ป้าค่อยๆ เนรมิตให้มีความเขียวสดชื่นได้เพียงเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ตอนที่ไปเยี่ยมป้าอุ๊ครั้งแรกกับปลา (มุทิตา เชื้อชั่ง – Still Live no.1) ผมรู้สึกคล้ายๆ อยู่ในที่ร่มเย็นเหมือนโอเอซิสในทะเลทราย ป้าอุ๊ก็คงทำกับที่ผืนใหม่นี้ได้เหมือนที่เคยทำในที่ผืนเก่าแห่งนั้น ไม่มีอะไรที่น่ากังวล แม้ว่าชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูหลานเหลนในวัยชรานั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ตลอดช่วงสายกระทั่งถึงตอนเย็น ป้าอุ๊พาเราย้อนอดีตไปหลายแห่ง เริ่มตั้งแต่ที่บ้านพักในค่ายทหารที่ป้าอุ๊เคยอยู่ตอนเด็กๆ แล้วไปเที่ยววัดซึ่งเป็นสถานที่จำหลักภาพความรักและความผูกพันของรสมาลินเมื่อยังเป็นเด็กสาวกับชายหนุ่มของเธอ วัดที่มีกลิ่นอับชื้นของอาคาร กลิ่นฉุนเฉียวของมูลค้างคาว ปะปนไปกับกลิ่นหอมเย็นของดอกลั่นทม และเสียงไก่แจ้ขันประชันไม่เว้นนาที จากนั้นก็ไปชายทะเลที่ลมไม่เคยหยุดพัก ที่ซึ่งเธอกับชายหนุ่มเคยไปเดินเล่นกันเสมอ ที่ในวันนี้กลายเป็นถนนเลียบทะเล และปิดท้ายในเวลาบ่ายคล้อยเย็นด้วยการนั่งให้สัมภาษณ์ใต้ต้นพิกุลในวัดที่เธอไปทำบุญทุกปีกับคนรัก

ในระหว่างทางเธอเล่าเรื่องความรัก ความเศร้า และอุปสรรคนานาในชีวิตให้ฟัง ผมนั่งฟังอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับอ่านนิยายรัก บางคราวเธอพูดถึงเพลงที่เธอชอบ แล้วร้องบางท่อนให้ฟัง พูดถึงเพลงที่คนรักของเธอหลงใหล ป้าอุ๊เล่าถึงชีวิตช่วงที่เหมือนฝันร้ายของความอาวรณ์ ความเป็นห่วงกังวล และการพลัดพรากจากคนรัก ป้าอุ๊เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาอย่างไม่สะดุดราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะสุขทุกข์อย่างไร เธอมักขมวดจบลงท้ายด้วยการมองอย่างมีอารมณ์ขันอย่างที่พยายามจะหัวเราะกับมันให้ได้  หรือไม่ก็เปลี่ยนให้กลายเป็นการเหน็บแนมคนรักของเธอราวหญิงสาวที่ยังไม่วายหาเรื่องหยอกคนรัก มันคงเป็นทางออกเดียวของความคิดถึง และคงเป็นการทำความเข้าใจไปพร้อมๆกับการทำใจกับชีวิต เพื่อที่จะดำเนินมันต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาสุดท้ายของเธอ

หลายชั่วโมงในสถานที่หลายแห่ง คำตอบต่อหลายคำถามฉายภาพให้เห็นว่าชีวิตได้ทำอะไรกับป้าอุ๊บ้าง ปรานีอ่อนโยนเหมือนน้ำทิพย์ที่ชุ่มฉ่ำรื่นรมย์ หรือไล่ต้อนเคี่ยวกรำจนหมดหนทางรีดเค้นจนไม่เหลือความหวังใด ชีวิตนี้พบเจอมาแล้วทุกอย่าง กระทั่งเรื่องที่ไม่คิดฝันว่าจะได้ประสบกับตัวเอง เรื่องราวบางเรื่องที่เธอไม่พูดเพราะพูดไม่ได้ แต่มันฉายอยู่ในแววตาล้าแรงของคนที่ผ่านชีวิตอย่างเคี่ยวกรำมาเกือบเจ็ดสิบปี

คำถามสุดท้ายที่ผมถามป้าอุ๊คือ “ถ้าตอนนี้พูดกับอากงได้จะบอกอะไร” เมื่อคำถามนี้ออกจากปากไปแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่เง่าเต็มที นึกด่าตัวเองอยู่ในใจ แต่อย่างไรคำถามก็ถูกถามออกไปแล้ว และคำตอบของป้าอุ๊ก็แสดงให้เห็นถึงการพยายามขมวดเข้าไว้ด้วยกันของทั้งการยอมรับความจริงของชีวิต และความคิดถึงที่ยังค้างคาอยู่ในหัวใจ ที่มักจบท้ายด้วยเสียงหัวเราะขื่นหลังเรื่องเศร้า

เหมือนอย่างที่ป้าอุ๊มักพูดว่า เพียงฝันก็สุขหนักหนา แค่ฝัน…

— ญุโต