ในสมุดบันทึก
ในสมุดบันทึก ฉันเคยบันทึกไว้
บทสนทนากับเพื่อนเก่า
ฉันเล่า ว่าสมัยราวแปดขวบนั้น
ฉันชอบดูดาวประกายพรึกตอนค่ำ
ดื่มด่ำ ชวนฝัน ชวนมุ่งมั่น
อธิษฐานว่าอะไรบ้างนั้นอย่ารู้เลย
ฉันอายเพื่อนฟังแล้วลอบถอนใจ
เขาว่า รู้ไหม ณ จุดที่เรายืนอยู่นี้
ไกลจากดวงดาวหลายพันปีแสง
แล้วไง ฉันถาม
ก็แปลว่าดาวที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้
ความจริงอาจแตกดับไปนานแล้วไม่แน่ใจว่าฉันบันทึกบทสนทนานี้ลงสมุดบันทึกทำไม
เพื่อจะรำลึกว่ากาลครั้งหนึ่งฉันเคยดูดาว
หรือเพื่อจะจำใส่หัว ว่าความจริงแล้ว อาจไม่มีดาว
หรือเพื่อจะไม่ลืมว่าเราจะรู้ความจริงว่าดาวไม่มีอยู่จริงได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่มีว่าแต่เราจะมีดาวไว้ทำไม
กะจิ๊ดริดในสายตา
สุกสกาวก็ต่อเมื่อหมดแสงรอบข้าง
สว่างเพียงชี้นำหนทาง
แต่ไม่เป็นธุระจะส่องทางให้เห็น
นางพรานเถื่อนคงได้แต่คว้าตะเกียงดุ่มเดินไป
ช่างขุนทองปะไร
มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง —กลับไปนั่งจดจารให้เป็นที่รำลึกไว้
รำลึกว่ามันจะลืมรำลึกเสียมิได้
ว่าไม่ว่าถึงที่สุดใครจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร
ดาวฤกษ์เกิดมาเพื่อเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง, จำไว้
ว่าแล้วมันก็ดับสวิตช์ไฟหัวเตียงครั้นหากนางพรานเถื่อนจะบันทึกสิ่งที่เคยเห็นบ้างอย่างคนไม่เขียนบันทึก
จะบันทึกอย่างไร“พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว
ส่องฟากฟ้า…”โอ๊ะ ไม่ใช่
“เห๊น, เห๊น”
จะเขียนยังไง?
สระเอ หอหีบ ไม้ตรี นอหนู
“เห๊น, เห๊น…”หรือว่า “เห็น”
สระเอ หอหีบ ไม้ไต่คู้ นอหนู
“เห็น, เห็น…”หรือว่า “เห้น”
สะเอ หอหีบ ไม้โท นอหนู“เห้น, เห้น –
เห้นทรวงฟ้ากว้าง หมื่นดาวนั้น สำอาง วับวาว
แม้นเดือนสกาว ไม่ยอมให้ดาว ขาวเฉิดไฉไล
ถึงตัวฉัน มีสวรรค์ ลอยมาใกล้
เชิญฉันเป็นดาวใหม่
ฟ้ามาวอนไหว้
ไม่-เป็น-แล้ว-ดาว!”แล้วจะให้ฉันจดว่าควรจำรำลึกอย่างไร
รำลึกอย่างดาวประกายพรึกที่เพียงดึกก็ลับหาย
หรือบันทึกอย่างนางพรานเถื่อนที่ถูกทิ้งไว้กับตะเกียง?อย่ากระนั้นเลย อย่างมากก็แค่ท่อนฮุกของทุกคนที่ฉันจะเขียนขึ้นใหม่
ปอดไม่ดี, ฉันเขียนแล้วท่องแทนร้องได้ไหม“ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย
ครั้นผืนฟ้าใกล้ดับจวนลับมลาย
ดินจะพราย-ไม่ว่ามี-หรือไม่-มีดาว
ดินจะกลาย-เป็น-หรือไม่-เป็นดาว!”ไอดา
6 ตุลา 59
ในการจัดฉายภาพยนตร์เรื่อง ดาวคะนอง (อโนชา สุวิชากรพงศ์ ) รอบพิเศษเฉพาะแขกรับเชิญเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2559 เพื่อร่วมรำลึกวาระครบรอบ 40 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม
คุณอโนชาผู้กำกับฯ ได้ขอให้คุณไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการวารสารอ่าน ขึ้นไปอ่านบทกวีก่อนภาพยนตร์จะเริ่มฉาย โดยไม่ได้นัดแนะกันมาก่อนทั้งบทกวีชื่อ “ในสมุดบันทึก” ของไอดา และภาพยนตร์ ดาวคะนอง ของอโนชา ต่างนำเสนอประเด็นว่าด้วยความทรงจำเดือนตุลา ด้วยน้ำเสียง ลีลา และท่าทีที่ทั้งคารวะและวิพากษ์ไปพร้อมกัน
และที่พ้องกันอีกอย่างน่าประหลาดใจคือทั้งภาพยนตร์และบทกวีชิ้นนี้เล่นกับคำว่า “ดาว” ในฐานะรูปสัญญะล่องลอย/ว่างเปล่า/ (floating/empty signifier) ซึ่งอัดแน่นไปด้วยนัยยะเชิงอุดมการณ์ที่ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้นได้อย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน
อาจเป็นเพราะทั้งคุณอโนชาและคุณไอดาต่างเป็นผู้หญิงร่วมรุ่นเดียวกัน ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการได้ยินได้ฟังเรื่องราวของขบวนการนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และการสังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาอย่างเงียบๆ ลับๆ ล่อๆ ก่อนจะกลายมาเป็นตำนาน “คนเดือนตุลา” อันลือลั่นภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
ตำนานที่ตัวละครจำนวนมากยังมีมีชีวิตโลดแล่นโดดเด่นอยู่ในสังคม และเป็นผู้หล่อเลี้ยงให้ตำนานดังกล่าวดูสูงส่ง ทอดเงาทะมึน บดบังและทาบทับเรื่องราวคนรุ่นอื่นๆ ทั้งก่อนหน้าและภายหลังพวกเขาจนแทบหมดสิ้น
ดังที่คุณไอดาได้เคยบรรยายความรู้สึกของคนรุ่นเธอต่อคนรุ่นเดือนตุลา โดยหยิบยืมคำพูดของวิลเลี่ยม ฟอล์กเนอร์ นักเขียนอเมริกันมาปรับใช้ว่า คนรุ่นเธอ
“เป็นรุ่นที่เกิดไม่เร็วพอที่จะทันร่วมกับเขา แต่เกิดไม่ช้าพอที่ไม่ต้องมาแบกรับอะไรที่เป็นของเขา เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นภาวะที่มีแรงตึงเครียดบางอย่าง ในทางหนึ่งก็เคารพชื่นชมเห็นเป็นฮีโร่ ในทางหนึ่งก็ข้องใจมีปัญหาอึดอัดกับพวกเขา”
(จากคำอภิปรายในงาน เปิดตัวหนังสือ คำนำ ของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ณ บ้านจิม ทอมป์สัน วันที่ 7 ตุลาคม 2559 สามารถค้นหาเพื่อรับฟังได้ทางยูทูบ)
หากจะต้องยืมคำพูดของฟอล์กเนอร์ในนวนิยายอีกเรื่องหนึ่ง ก็ต้องบอกว่าบทกวีชิ้นนี้พยายามชี้ว่าคนเดือนตุลาเป็น “สัญลักษณ์ของความน่าคารวะและความหวัง ทั้งยังเป็นตัวการของความสิ้นหวังและความตรอมตรม” (“symbol also of admiration and hope, instruments too of despair and grief,” Faulkner, Absalom, Absalom!)
บทกวี “ในสมุดบันทึก” ร่วมรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา ด้วยการหวนทบทวนสถานะของคนเดือนตุลาและความทรงจำเดือนตุลา พร้อมกับตั้งคำถามกับบทบาทและข้อจำกัดของการนำเสนอความจริงและความทรงจำในยุคสมัยแห่งความท่วมท้นล้นเกินของความจริงและความทรงจำ ที่โดดเด่นก็คือบทกวีชิ้นนี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับตำแหน่งแห่งที่ของผู้หญิงในความทรงจำ 6 ตุลา และในฐานะผู้จดจำความทรงจำดังกล่าว
ดังที่กวีขมวดปมปัญหาข้างต้นด้วยคำถามในช่วงท้ายของบทกวีว่า
แล้วจะให้ฉันจดว่าควรจำรำลึกอย่างไร
รำลึกอย่างดาวประกายพรึกที่เพียงดึกก็ลับหาย
หรือบันทึกอย่างนางพรานเถื่อนที่ถูกทิ้งไว้กับตะเกียง?
บทกวีค่อนข้างยาวชิ้นนี้มีเนื้อหาแวดล้อมอยู่กับการครุ่นคิดคำนึงของกวีต่อนัยยะและความหมายของดาวที่ผูกพันกับชีวิตและความทรงจำของกวีตั้งแต่วัยเด็ก
โดยเริ่มต้นจากการหวนกลับไปอ่านบทสนทนากับเพื่อนเกี่ยวกับดาวในสมุดบันทึก ที่ทำให้กวีต้องทบทวนเกี่ยวกับความคิดและความเชื่อของตนเองต่อความทรงจำเดือนตุลา
เนื้อหาในช่วงแรกของบทกวีมาจบลงตรงที่กวีนึกเปรียบเทียบคนเดือนตุลาและความทรงจำของพวกเขา กับนางพรานเถื่อนที่ต้องลุกขึ้นมาบันทึกเรื่องราวความทรงจำของตนเองบ้าง
เนื้อความในครึ่งหลังคือบันทึกของนางพรานเถื่อนผ่านบางท่อนของเนื้อเพลงสองเพลงที่เป็นทั้งตัวแทนความทรงจำและตัวตนในอดีต ได้แก่ “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ และ “ไม่ขอเป็นดาว” ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ และมาจบลงด้วยเสียงของกวีที่นำเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” มาแต่งใหม่
“ในสมุดบันทึก” เป็นเสมือนท้องฟ้าจำลองของจักรวาลดวงดาวอันหลากหลายที่โคจรอยู่รายรอบชีวิตและความทรงจำของกวี ไล่มาตั้งแต่ดาวในความหมายเชิงโรแมนติกที่เป็นคู่แย้งกับความหมายเชิงเรียลลิสติก ฟิสิกส์และเมตาฟิสิกส์ดังที่ปรากฏในบทสนทนากับเพื่อน
ดาวในฐานะสัญญะทางวัฒนธรรมของฝ่ายซ้ายผ่านเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็นคู่เทียบกับดาวในฐานะสัญญะทางวัฒนธรรมของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผ่านเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” ทั้งยังมีนัยประหวัดไปถึงสัญญะทางวัฒนธรรมของความเป็นนักศึกษายุค “ดาวประจำมหาวิทยาลัย”
และท้ายสุดคือดาวในฐานะคู่แย้งกับดินดังที่ปรากฏในเนื้อเพลงแต่งใหม่ในท่อนจบ มิพักต้องพูดถึงว่าบทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้นเพื่อนำมาอ่านเป็นครั้งแรกในการฉายภาพยนตร์ ดาวคะนอง ที่กลายมาเป็นดาวอีกหนึ่งดวงบนผืนฟ้าของบทกวีชิ้นนี้
หาก ดาวคะนอง ใช้ท่าทีและชั้นเชิงของภาษาหนังในลักษณะ meta-cinema เพื่อเปิดประเด็นว่าด้วยการนำเสนอความทรงจำผ่านสื่อภาพยนตร์ โดยจงใจไม่ใช้ภาพข่าวบันทึกเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา แต่เลือกถ่ายทอดด้วยภาพของการจำลองเหตุการณ์ในโรงถ่ายภาพยนตร์
ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงตั้งคำถามเชิงยั่วล้อตัวเองอย่างรู้ตัวถึงข้อจำกัดของภาพยนตร์ในการถ่ายทอดความจริงในอดีต แต่ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับสถานะและบทบาทของข่าว รูปภาพ และภาพเคลื่อนไหวต่อการสร้างความทรงจำในอดีตไปพร้อมกัน
ฉันใดก็ฉันนั้น บทกวี “ในสมุดบันทึก” นำเสนอตัวตนและความทรงจำของกวีด้วยชั้นเชิงและทีท่าของภาษากวีที่ขับเน้นความเป็นสัมพันธบท (intertextuality) ที่เชื่อมโยงตัวตนของกวีเข้ากับเหตุการณ์และความทรงจำเดือนตุลา กล่าวคือ บทกวีอาจไม่ได้ระบุถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาไว้อย่างชัดเจน แต่อาศัยการสร้างเครือข่ายของชุดคำและชุดภาพเปรียบที่ผูกพันกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เพื่อสะกิดใจผู้อ่านให้ประหวัดถึงกรณีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เครือข่ายสัมพันธบทที่เป็นทั้งการผลิตซ้ำและการดัดแปลงสร้างใหม่ยังทำหน้าที่กระตุ้นให้ผู้อ่านต้องหวนคิดและทบทวนสถานะ คุณค่า ตลอดจนความหมายของอดีต และความทรงจำเกี่ยวกับอดีต ควบคู่ไปกับการตั้งคำถามกับสถานะและบทบาทของกวีนิพนธ์ในการบันทึกและ/หรือสร้างความทรงจำในอดีต
อันทำให้บทกวีชิ้นนี้มีลักษณะเป็น meta-poetry ในเวลาเดียวกันด้วย
สัมพันธบทสองทิศทาง
สัมพันธบทคือสภาวะที่ตัวบทหนึ่งๆ อ้างอิงไปถึงตัวบทอื่นๆ ทั้งในลักษณะที่อ้างอิงถึงโดยตรง นั่นคือยกข้อความจากตัวบทต้นทางมาใส่ไว้ในตัวบทปลายทาง หรืออ้างอิงโดยอ้อมหรือโดยนัยโดยอยู่ในลักษณะของชุดรหัสทางวัฒนธรรมหรือรหัสของการประพันธ์ นักทฤษฎีวรรณคดีบางสำนักเสนอว่าไม่มีตัวบทใดที่ดำรงอยู่โดยเอกเทศ ทุกตัวบทล้วนเป็นสัมพันธบททั้งสิ้น
การพิจารณาสัมพันธบทในบทกวี “ในสมุดบันทึก” จะพิจารณาสัมพันธบทที่เป็นการอ้างอิงโตยตรงเป็นสำคัญ โดยมุ่งดูนัยยะของปฏิสัมพันธ์สองทิศทางจากตัวบทต้นทางสู่ตัวบทปลายทาง
ความเป็นสัมพันธบทของบทกวีชิ้นนี้เห็นได้อย่างชัดเจนจากการอ้างอิงไปถึง “วรรคทอง” ของงานวรรณกรรมยุค 14 ตุลา และ 6 ตุลา เช่นในท่อนที่ว่า “ช่างขุนทองปะไร มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง-” ขุนทองในที่นี้อ้างอิงไปถึงบทกวี “เจ้าขุนทอง” ของสุจิตต์ วงษ์เทศ เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2516 ในช่วงที่นักศึกษาประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารถนอม-ประภาส
บทกวีของสุจิตต์ชิ้นนี้โดยตัวมันเองก็เป็นสัมพันธบทอ้างอิงไปถึงเพลงกล่อมเด็กชื่อ “เจ้าขุนทอง” ที่แพร่หลายในภาคกลางมายาวนาน โดยกวีได้ปรับแต่งและให้ความหมายเจ้าขุนทองเสียใหม่ว่าคือนักศึกษาที่ยอมสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยดังที่ปรากฏในท่อนจบว่า
ไม่มีร่างเจ้าขุนทอง มีแต่รัฐธรรมนูญ
แม่กับพ่อก็อาดูร แต่ภูมิใจลูกชายเอย ฯ
นอกจากนี้ ในวรรคที่ว่า “มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง” ก็เป็นการอ้างไปถึงเรื่องสั้นชื่อ “ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” ของอัศศิริ ธรรมโชติ เผยแพร่ครั้งแรกในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เดือนกันยายน 2520 ภายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาไม่ครบปี เนื้อหาเกี่ยวกับแม่ที่เฝ้ารอการกลับมาของลูกหรือ “เจ้าขุนทอง” ที่หลบหนีออกจากบ้านไป
เนื่องจากชื่อเรื่องสั้นชิ้นนี้อ้างอิงกลับไปที่บทกวี “เจ้าขุนทอง” ของสุจิตต์ วงษ์เทศ จึงทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเจ้าขุนทองในเรื่องเป็นสัญลักษณ์หมายถึงนักศึกษาที่หลบหนีการกวาดล้างของรัฐบาลทหารภายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งส่วนใหญ่ได้ไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้กับรัฐบาลทหารเพื่อปลดปล่อยประเทศจากอำนาจเผด็จการ ดังนั้น ชื่อเรื่องสั้นจึงมีนัยยะสื่อถึงความหวังในสังคมที่ดีกว่าเมื่อเจ้าขุนทองกลับสู่เมือง
แต่ที่สำคัญกว่านัยประหวัดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และการสังหารหมู่ 6 ตุลาคม คือน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าปนหยามหยัน เมื่อกวีนำเจ้าขุนทองมาเทียบเคียงกับนางพรานเถื่อน
ว่าแต่เราจะมีดาวไว้ทำไม
กะจิ๊ดริดในสายตา
สุกสกาวก็ต่อเมื่อหมดแสงรอบข้าง
สว่างเพียงชี้นำหนทาง
แต่ไม่เป็นธุระจะส่องทางให้เห็น
นางพรานเถื่อนคงได้แต่คว้าตะเกียงดุ่มเดินไป
ช่างขุนทองปะไร
มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง-
บทกวีเปิดประเด็นอันแหลมคมยิ่งว่าด้วยสถานะและบทบาทของคนเดือนตุลาในฐานะผู้ชี้นำและผู้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง โดยนำไปเทียบกับดาวนำทาง พร้อมกันนั้นก็พลิกผันนัยยะและความหมายของดาวนำทาง โดยเฉพาะในวรรคที่ว่า “สุกสกาวก็ต่อเมื่อหมดแสงรอบข้าง” ช่วยสะกิดให้เราฉุกคิดว่าความโดดเด่นน่าจดจำของคนเดือนตุลาได้มาก็ด้วยการกดทับ บดบัง ลบล้างเรื่องราวของคนอื่นอีกมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นการหลงติดอยู่กับบทบาทของผู้นำทาง ทำให้พวกเขา “ไม่เป็นธุระจะส่องทางให้เห็น” โดยทิ้งภาระให้คนอย่างนางพรานเถื่อนเป็นผู้แบกรับแทน
แต่วรรคที่ถือว่าเป็นหมัดฮุกคือวรรคสุดท้ายในท่อนนี้ แม้ว่าบทกวีจะอ้างอิงในลักษณะสัมพันธบทถึงวรรคทองของวรรณกรรม 14 ตุลา และ 6 ตุลา แต่ข้อความในวรรคนี้ก็เป็นการสร้างใหม่เพื่อตอบโต้กับวรรคทองของตัวบทต้นทางด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในที่นี้ ขุนทอง “มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง” มิใช่ “ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” ที่เป็นชื่อเรื่องสั้นของอัศศิริ
หากขุนทองในเรื่องสั้นของอัศศิริเป็นตัวแทนของความหวังที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมใหม่ เหมือนพระอาทิตย์ที่นำแสงสว่างมาสู่โลกในยามเช้า เจ้าขุนทองในบทกวีชิ้นนี้คือตัวแทนของผู้ละทิ้งความหวังในสังคมที่ดีกว่า และหนีกลับบ้าน “ตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง”
คำว่า “กลับ” ในที่นี้มีนัยยะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคำเดียวกันนี้ที่ปรากฏในชื่อเรื่องสั้นของอัศศิริ มันคือ “การกลับ” ในความหมายเดียวกันกับที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า นับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา นักศึกษาได้ทยอยกันกลับสู่เมือง มิใช่ในฐานะผู้ร่วมปลดปล่อยสังคมไทยดังที่พวกเขาคาดหวังไว้ในวันที่ตัดสินใจทิ้งเมืองไปจับปืน
แต่ในฐานะ “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ตามนโยบาย 66/23 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ดังจะพบได้จากบทกวีท่อนถัดมาที่แทรกน้ำเสียงถากถางการกลับมาของเจ้าขุนทองไว้อย่างเจ็บปวด
กลับไปนั่งจดจารให้เป็นที่รำลึกไว้
รำลึกว่ามันจะลืมรำลึกเสียมิได้
ว่าไม่ว่าถึงที่สุดใครจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร
ดาวฤกษ์เกิดมาเพื่อเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง, จำไว้
ว่าแล้วมันก็ดับสวิตช์ไฟหัวเตียง
ในที่นี้บทกวีชี้ให้เห็นอาการหลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ ด้วยภาพของเจ้าขุนทองที่คอยพร่ำเตือนตนเองและผู้อื่นให้จดจำพวกเขา
ขณะเดียวกันก็สะท้อนอาการหลอกตัวเองจนน่าหัวร่อของเจ้าขุนทอง ที่ปลอบประโลมความล้มเหลวไร้น้ำยาของพวกเขา ด้วยการย้ำเตือนถึงความยิ่งใหญ่ในตัวเอง ที่ไม่พึงต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำใดๆ เพราะพวกเขาคือดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง วรรคสุดท้ายของท่อนนี้ “ว่าแล้วมันก็ดับสวิตช์ไฟหัวเตียง” บอกผู้อ่านอย่างไม่อ้อมค้อมถึงความจอมปลอมของดาวฤกษ์กลุ่มนี้
จากที่แจกแจงมา จะเห็นได้ว่า “เจ้าขุนทอง” ในฐานะสัมพันธบทได้เชื่อมโยงนางพรานเถื่อนเข้ากับความทรงจำเดือนตุลา แต่ในเวลาเดียวกันนางพรานเถื่อนก็ใช้สัมพันธบทนี้ในการนิยามตัวตนของนาง ด้วยการตั้งคำถามกับความทรงจำนั้น
เจ้าขุนทองในฐานะสัมพันธบทที่เกิดขึ้นจากการผลิตซ้ำและสร้างใหม่เพื่อรำลึกและตั้งคำถามกับความทรงจำเกี่ยวกับคนเดือนตุลาเป็นเพียงเพลงโหมโรงของบทกวีชิ้นนี้
สัมพันธบทที่โดดเด่น เข้มข้น คมคาย หลากหลายนัยยะที่ทั้งลึกและซึ้งอย่างยิ่งในบทกวีชิ้นนี้ คือการอ้างอิงถึงบทเพลงที่เป็นเสมือนเพลงประจำรุ่นของคนเดือนตุลา ได้แก่ “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ โดยนำไปเทียบเคียงกับเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ที่เป็นตัวแทนเพลงประจำยุคของคนชั้นกลางกรุงเทพฯ รุ่นไล่เลี่ยกัน และลงเอยด้วยการสร้างเพลงใหม่ของกวีในท่อนจบ
ความทรงจำเดือนตุลากับสัมพันธบทสองทิศทาง
เจ้าขุนทองในฐานะสัมพันธบท (intertextuality) ที่เกิดขึ้นจากการผลิตซ้ำและสร้างใหม่เพื่อรำลึกและตั้งคำถามกับความทรงจำเกี่ยวกับคนเดือนตุลาที่วิเคราะห์ไว้ในตอนแรกของบทความเป็นเพียงเพลงโหมโรงของบทกวีชิ้นนี้
สัมพันธบทที่โดดเด่น เข้มข้น คมคาย หลากหลายนัยยะที่ทั้งลึกและซึ้งอย่างยิ่งในบทกวีชิ้นนี้ คือการอ้างอิงถึงบทเพลงที่เป็นเสมือนเพลงประจำรุ่นของคนเดือนตุลา ได้แก่ “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ โดยนำไปเทียบเคียงกับเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ที่เป็นตัวแทนเพลงประจำยุคของคนชั้นกลางกรุงเทพฯ รุ่นไล่เลี่ยกัน และลงเอยด้วยการสร้างเพลงใหม่ของนางพรานเถื่อนในท่อนจบ
ตามเนื้อความของบทกวีในท่อนนี้ ทั้งบทเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” และ “ไม่ขอเป็นดาว” คือความพยายามของนางพรานเถื่อนที่จะ “บันทึกสิ่งที่เคยเห็นบ้างอย่างคนไม่เขียนบันทึก” ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องอาศัยหยิบยืมถ้อยคำจากสิ่งที่ผูกพันกับชีวิตมาพูดแทนใจตนเอง อันได้แก่บางท่อนของเพลงสองเพลงดังกล่าว
เนื้อเพลงท่อนที่นางพรานเถื่อนนำมาร้องในที่นี้มีลักษณะเหมือนเพลงผสมหรือเพลง medley ที่ตัดตอนมาจากหลายๆ เพลง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวนางที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงชาวบ้าน และ/หรืออวตารของ “ฉัน” ในบทกวีชิ้นนี้
อันได้แก่ชีวิตที่เริ่มต้นด้วยท่อนเปิดของเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” (พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้า…) ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของความใฝ่ฝัน ความหวังและความศรัทธาของนาง
แต่นางพบว่า “โอ๊ะ ไม่ใช่” จากนั้นจึงเปลี่ยนไปพยายามร้องเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” เพื่อพูดความในใจของนางว่า “ถึงตัวฉัน มีสวรรค์ ลอยมาใกล้ เชิญฉันเป็นดาวใหม่ ฟ้ามาวอนไหว้ ไม่-เป็น-แล้ว-ดาว”
จะเห็นว่าแม้เนื้อหาของเพลงท่อนที่ตัดตอนมาร้องต่อกันจะสอดคล้องกลมกลืน แต่นัยยะเชิงอุดมการณ์และความหมายทางวัฒนธรรมของเพลงสองเพลงนี้กลับขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
เพลงหนึ่งเป็นเพลงที่แต่งโดยนักปฏิวัติ มีเนื้อหาเพื่อการปฏิวัติ ดาวในบทเพลงนี้น่าจะหมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (ดาวโดยเฉพาะดาวแดงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของชาวคอมมิวนิสต์ทั่วทุกมุมโลก) และถูกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม
ที่สำคัญคือมันถูกเชื่อมโยงเข้ากับขบวนการนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา จนถึงการสังหารหมู่ 6 ตุลา อย่างแนบแน่น ทั้งในแง่ที่เพลงดังกล่าวถูกทำให้แพร่หลายโดยขบวนการนักศึกษาในช่วงดังกล่าว และในแง่ของความเป็นเพลงประจำรุ่นที่บ่งบอกตัวตนและความใฝ่ฝันของคนรุ่นนี้
ส่วนอีกเพลงหนึ่งนั้นคือเพลงยอดนิยมที่เป็นแทบจะทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับเพลงแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้แต่ง วงดนตรีที่นำเพลงนี้มาเล่น เนื้อหาโดยรวมของเพลง ตลอดจนสถานที่และโอกาสที่เพลงนี้จะถูกนำไปร้อง
สิ่งเดียวที่เพลงทั้งสองมีร่วมกันจนสามารถนำมาร้องต่อกันได้ก็คือต่างเป็นตัวแทนความทรงจำและตัวตนในอดีตของนางพรานเถื่อนที่ผูกพันกับสองเพลงนี้
การตัดตอนเพลงทั้งสองมาผสมกันเป็นเพลงเมดเลย์จึงแทบจะเหมือนกับเป็นการลบหลู่หยามเหยียดและลดทอนคุณค่าของเพลงปฏิวัติให้มีฐานะไม่ต่างจากเพลงรักอันดาษดื่น (คำว่า “ตัดตอน” ในที่นี้ใช้อย่างจงใจแต่จะอภิปรายขยายความในภายหลัง)
อย่างไรก็ตาม หากคำนึงถึงบริบทสังคมในปัจจุบันที่บทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้น จะพบว่านัยยะเชิงอุดมการณ์และความหมายทางวัฒนธรรมของทั้งเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” และ “ไม่ขอเป็นดาว” เปลี่ยนไปมากจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
ทุกวันนี้เราจะยังถือว่า “แสงดาวแห่งศรัทธา” เป็นเพลงปฏิวัติอยู่อีกหรือไม่ เมื่อเราพบว่าเพลงดังกล่าวถูกนำไปใช้ประกอบมิวสิกวิดีโอที่มีผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยวิ่งเล่นบนชายหาด เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงดังกล่าวขับขานอยู่ในภัตตาคารหรูไม่ต่างจากสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเราจะได้ยินเพลง “ไม่ขอเป็นดาว”
เมื่อเพลงนี้ถูกนำไปร้องอยู่ต่อหน้าผู้ชมผู้ฟังที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์โดยสิ้นเชิงกับเนื้อหาของเพลงหรืออุดมการณ์ของผู้แต่งเพลง เมื่อเพลงนี้ถูกนำไปร้องโดยอดีตทหารมือเปื้อนเลือดจากกรณี 6 ตุลา หรือแม้แต่โดยอดีตคนเดือนตุลาที่ประกาศบนเวทีชุมนุมเรียกร้องทหารให้เข้ามายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ก็ไม่ต่างจากความทรงจำเดือนตุลาต้องประสบกับชะตากรรมพลิกผันไปมาตามความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และการเปลี่ยนจุดยืนทางอุดมการณ์ของคนเดือนตุลาชนิดกลับซ้ายเป็นขวา กลับหน้ามือเป็นหลังมือ
เพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” เป็นตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของรูปสัญญะล่องลอยว่างเปล่า เพราะอัดแน่นไปด้วยนัยยะเชิงอุดมการณ์ต่างๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้น
กระบวนการแปรทุกอย่างให้เป็นสินค้าและกระบวนการดูดกลืนทางอุดมการณ์ได้ถอดเขี้ยวเล็บและบั่นทอนความแหลมคมของนัยยะทางการเมืองและวัฒนธรรมของเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา”ไปจนแทบจะหมดสิ้น มีสถานะเป็นเพียงเพลงซึ้งๆ เพลงหนึ่งไม่ต่างจากเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” ที่นิยมร้องและฟังกันในหมู่คนสูงวัยที่โหยหาอดีตยุควันชื่นคืนสุขของพวกเขา
แท้จริงแล้ว การนำเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” มาอยู่คู่กับ “ไม่ขอเป็นดาว” ในฐานะความทรงจำร่วมของนางพรานเถื่อน มิใช่การลดทอนคุณค่าของเพลงดังกล่าว แต่คือการร่วมรำลึกความหมายที่หายไปของมันต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงทั้งสองกับนางพรานเถื่อนจึงเป็นไปในสองทิศทาง กล่าวคือ ทางหนึ่งเพลงทั้งสองมีบทบาทหล่อหลอมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนาง แต่ในอีกทางหนึ่งเธอเป็นผู้ทำให้เพลงทั้งสองสามารถมีที่มีทางและมาอยู่ร่วมกันได้
หรือจะพูดด้วยกรอบคิดเรื่องสัมพันธบทแบบหลังสมัยใหม่ ทั้งสองเพลงเป็นตัวบทต้นทางทำหน้าที่เขียนชีวิตของนางพรานเถื่อนผู้มีฐานะเป็นตัวบทปลายทาง แต่ในเวลาเดียวกันนางพรานเถื่อนก็เป็นตัวบทต้นทาง และเพลงทั้งสองคือตัวบทปลายทาง
เพราะเธอเขียนซ้ำและเขียนใหม่ให้ทั้งสองเพลงนี้มาอยู่ด้วยกันในบริบทใหม่ ที่สื่อความหมายและอุดมการณ์ซึ่งต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกวี/นางพรานเถื่อน นำเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็น “ท่อนฮุกของทุกคน” มาแต่งใหม่ เพื่อทำหน้าที่บ่งบอกตัวตนและเจตนารมณ์ใหม่ของเธอ
“ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย
ครั้นผืนฟ้าใกล้ดับจวนลับมลาย
ดินจะพราย-ไม่ว่ามี-หรือไม่-มีดาว
ดินจะกลาย-เป็น-หรือไม่-เป็นดาว!”
ในที่นี้ การแปลงและแปลความหมายใหม่ให้กับ “ท่อนฮุก” ของเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” (และน่าจะมีเสียงแว่วๆ จากเพลง “เดือนเพ็ญ” ของนายผีอยู่ด้วยในวลี “ดาวคืนเพ็ญ”) เป็นทั้งการคารวะ วิพากษ์ และสานต่อสร้างใหม่ความทรงจำเดือนตุลาไปพร้อมกัน
กล่าวคือ ในวรรคต้นการยกข้อความทั้งวรรคมาจากเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ทำหน้าที่ย้ำเตือนเจตนารมณ์เดียวกันกับคนเดือนตุลาของกวี/นางพรานเถื่อน ขณะที่ในวรรคถัดมาการปรับเปลี่ยนคำจากเนื้อเพลงเดิมที่ว่า “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” มาเป็น “ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย” แสดงน้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์สถานะของคนเดือนตุลาในปัจจุบัน ผู้กลายมาเป็นคนเด่นดาราดังในแวดวงสังคม จนลืมอุดมการณ์และยึดติดอยู่แต่วีรกรรมในอดีตของพวกเขา
ส่วนสองวรรคสุดท้ายเป็นการแปรเจตนารมณ์เดิมของเพลงให้สอดรับกับความใฝ่ฝันใหม่ในบริบทสังคมปัจจุบัน โดยการนำคำว่า “ดิน” เข้ามาเป็นคู่เปรียบกับ “ดาว”
ในที่นี้ ดินเป็นตัวละครอีกหนึ่งตัวในประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม อันได้แก่ชาวบ้านผู้ไร้สิทธิไร้เสียงเป็นเพียงธุลีดินในสังคมไทย ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาเริ่มจะออกมาแสดงตัวตนและเรียกร้องสิทธิของพวกเขาด้วยตัวเขาเองมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องรอให้พวกนักศึกษา ปัญญาชน และนักเอ็นจีโอมาเป็นปากเป็นเสียงแทนดังเช่นที่เคยผ่านมา
ความหมายของ “ดาว” ที่เพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับดิน ทำให้ดาวในบทเพลงแปลงใหม่นี้เป็นมากกว่า “ดาว” ที่หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตามความหมายดั้งเดิมที่จิตร ภูมิศักดิ์ แต่งไว้ หรือเป็นตัวแทนของความใฝ่ฝันในสังคมใหม่ดังที่คนเดือนตุลาสร้างขึ้น แต่ยังมีความหมายรวมไปถึงคนเดือนตุลาผู้เป็นทั้งแรงบันดาลใจและที่มาของความผิดหวังของนางพรานเถื่อน จนนางสามารถประกาศว่า “ดินจะพราย-ไม่ว่ามี-หรือไม่-มีดาว ดินจะกลาย-เป็น-หรือไม่-เป็นดาว!”
การเลือกใช้คำว่า “หรือ” ในที่นี้นับว่าน่าสนใจ ในแง่ที่มันไม่ได้ปฏิเสธหรือตัดขาดสถานะและการมีอยู่ของดาวในทั้งสามความหมายข้างต้นโดยสิ้นเชิง แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้ให้ค่ากับดาวจนสูงส่งเหมือนเช่นที่ปรากฏในบทเพลงเดิม กล่าวคือ ถ้ามีดาวหรือกลายเป็นดาวได้ก็ดี แต่ถึงไม่มีหรือไม่เป็นดาวก็มิได้ทำให้ดินจะเดือดร้อนหรือจะเป็นจะตายแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ยุคสมัยของการปั้นดินให้เป็นดาว
การสร้างใหม่บนร่างเดิมของเนื้อเพลงในที่นี้จึงมิใช่เพียงเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของคนรุ่นหลัง 6 ตุลาอย่างกวี/นางพรานเถื่อน แต่เป็นการจัดที่จัดทางใหม่ให้กับคนเดือนตุลาและความทรงจำเดือนตุลาด้วย
ความหมายใหม่ของดาวในตอนจบของบทกวีพาเรากลับไปสู่บันทึกว่าด้วยบทสนทนาระหว่าง “ฉัน” กับ “เพื่อนเก่า” เรื่องการมีหรือไม่มีอยู่ของดาวที่มนุษย์เห็นบนท้องฟ้า ที่สะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างทัศนะต่อดวงดาวในเชิงโรแมนติกของกวี (“ฉันชอบดูดาวประกายพรึกตอนค่ำ ดื่มด่ำ ชวนฝัน ชวนมุ่งมั่น”) เมื่อเทียบกับทัศนะเชิงเรียลลิสติกและเย้ยหยันของเพื่อน “ก็แปลว่าดาวที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้ ความจริงอาจแตกดับไปนานแล้ว”)
คำอธิบายเชิงฟิสิกส์ของเพื่อนที่ว่า เพราะความต่างของระยะทางนับเป็นพันปีแสง ดาวที่เห็นขณะนี้อาจแตกดับไปแล้ว มีนัยประหวัดถึงความหมายของดาวในเชิงเมตาฟิสิกส์ (อภิปรัชญา) ดังที่ “ฉัน” ขมวดปมใว้ในคำรำพึงที่ว่า
ไม่แน่ใจว่าฉันบันทึกบทสนทนานี้ลงสมุดบันทึกทำไม
เพื่อจะรำลึกว่ากาลครั้งหนึ่งฉันเคยดูดาว
หรือเพื่อจะจำใส่หัว ว่าความจริงแล้ว อาจไม่มีดาว
หรือเพื่อจะไม่ลืมว่าเราจะรู้ความจริงว่าดาวไม่มีอยู่จริงได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่มี
ข้อความในรูปปฏิเสธซ้อนปฏิเสธซ้อนปฏิเสธที่ผสมผสานกันระหว่างคำสอนของนิกายเซนกับลีลาการเขียนของวิลเลียม ฟอล์กเนอร์ (“รู้ความจริงว่าดาวไม่มีอยู่จริงได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่มี”) เปลี่ยนประเด็นว่าด้วยการมีอยู่ของดาวในทางฟิสิกส์และเมตาฟิสิกส์ ไปสู่ประเด็นทางญาณวิทยา
กล่าวคือ เป็นความจริงเชิงฟิสิกส์ว่า ดาวที่เห็นจากพื้นโลกในเวลานี้ อาจแตกดับไปแล้ว อันนำไปสู่ปัญหาเชิงเมตาฟิสิกส์ว่าสิ่งที่เราเห็นว่ามีอยู่นั้น ในความจริงอาจไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามีอยู่จริงก็อาจมิได้เป็นอย่างที่เราเห็น และสิ่งที่เราเห็นอาจเป็นเพียงเงาหรือแม้แต่ร่องรอยของเงาของความจริงที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
แต่สิ่งที่ “ฉัน” เสนอในวรรคสุดท้ายของท่อนที่ยกมาคือการเปิดประเด็นว่าด้วยญาณวิทยา นั่นคือการรับรู้ของมนุษย์ต่างหากเป็นตัวชี้ขาดการมีอยู่หรือไม่มีอยู่
นัยยะของข้อความที่ว่า “ดาวไม่มีอยู่จริงได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่มี” คือการรู้ว่าดาวไม่มีอยู่จริงโดยตัวมันเองทำหน้าที่ยืนยันการมีอยู่ของดาว อย่างน้อยก็ในระดับของการรับรู้ เพราะ “ดาว” ถูกจัดให้เข้ามาอยู่ในสาระบบของการรับรู้ในฐานะสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ประเด็นเชิงฟิสิกส์/เมตาฟิสิกส์/ญาณวิทยาของดาวบนท้องฟ้าในท่อนเปิดดังที่แจกแจงมานี้เกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องสงสัยกับประเด็นเรื่องดาวใน “แสงดาวแห่งศรัทธา” ในฐานะความทรงจำเดือนตุลาและในฐานะคนเดือนตุลา
“นางพรานเถื่อน” มีทัศนะต่อคนตุลาคล้ายคลึงกันกับทัศนะต่อดวงดาวของ “ฉัน” ในท่อนเปิด นั่นคือนางไม่ปฏิเสธว่าความทรงจำเดือนตุลาและคนตุลาที่เธอรับรู้และเชื่อมั่นศรัทธา อาจจะเป็นเหมือนดาวที่แตกดับและไม่มีอยู่จริง และคนตุลาและความทรงจำตุลาที่ปรากฏอยู่ก็เป็นเพียงเงา หรือร่องรอยของเงาของอดีตเท่านั้น แต่ “นางพรานเถื่อน” ยืนกรานที่จะเชื่อว่าการรู้ว่าคนตุลาและความทรงจำตุลามีหรือเคยมีอยู่หรือไม่มีอยู่นั้น ทำให้พวกเขามีจริงอย่างน้อยในระดับอัตวิสัยของนาง
และด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” แม้จะรู้แก่ใจดีว่าความหมายเชิงปฏิวัติของเพลงอาจจะหมดสิ้นแล้วซึ่งพลัง
อีกทั้งคนเดือนตุลาที่เป็นตัวแทนของเพลงนี้ก็แปรเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม
แต่นางพร้อมจะยอมรับการมีอยู่ของมันในฐานะส่วนหนึ่งของตัวตนและความทรงจำของนางโดยนำมันมาผสมกับเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” และเลือกที่จะนิยามมันขึ้นใหม่ มากกว่าจะลบมันทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ดังเห็นได้จากการเขียนใหม่เพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ในท่อนจบของบทกวี
การผลิตซ้ำและเขียนใหม่เพื่อสร้างสัมพันธบทระหว่างวรรณกรรมเดือนตุลากับกวี ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าขุนทอง” หรือ เพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ตามที่ได้แจกแจงมาทั้งหมด ชี้ว่าสัมพันธบทในบทกวีชิ้นนี้มิได้เป็นเพียงกลวิธีทางวรรณศิลป์เพื่อแสดงปฏิภาณกวีเท่านั้น
แต่คือกระบวนการนิยามใหม่ความทรงจำเดือนตุลาและตัวตนของกวี ที่ไม่ปฏิเสธสถานะและบทบาทของคนเดือนตุลาและวรรณกรรมเดือนตุลาซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวบทต้นทางของกวีและบทกวีชิ้นนี้ แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมจะเดินผ่านพวกเขาไป เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของความทรงจำและหน้าใหม่ของกวีนิพนธ์
เพศสถานะของความทรงจำและสมุดบันทึก
นอกเหนือจากการสร้างสัมพันธบทเพื่อหวนรำลึกและทบทวนความหมายของความทรงจำเดือนตุลาแล้ว บทกวีชิ้นนี้พยายามตั้งคำถามกับประเด็นเรื่องเพศสถานะ (gender) ของความทรงจำเดือนตุลาด้วย
ดังจะเห็นได้จากคำถามช่วงท้ายของบทกวีที่ว่า “แล้วจะให้ฉันจดว่าควรจำรำลึกอย่างไร” ที่ตามมาด้วยทางเลือกสองทางคือ “รำลึกอย่างดาวประกายพรึกที่เพียงดึกก็ลับหาย” กับ “หรือบันทึกอย่างนางพรานเถื่อนที่ถูกทิ้งไว้กับตะเกียง?”
บทกวีจงใจสร้างคู่เปรียบชายหญิงหลักๆ ไว้หลายคู่ เช่น เจ้าขุนทอง ในฐานะคนเดือนตุลาและความทรงจำเดือนตุลา เทียบกับนางพรานเถื่อนในฐานะคนหลัง 6 ตุลา หรือเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ เทียบกับ “ไม่ขอเป็นดาว” ที่ขับร้องโดยบุษยา รังสี
นอกจากนี้ จินตภาพและอุปมาสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนเดือนตุลาล้วนขับเน้นความเป็นชายแกร่งอย่างเข้มข้น อาทิ การเปรียบเทียบคนตุลาในฐานะผู้นำและผู้ชี้นำ เป็นดาวนำทางหรือดาวประกายพรึก ผิดกับนางพรานเถื่อนเดินดินและ “เดินดุ่ม” ที่ต้องถือตะเกียงเพื่อส่องทาง
หรือเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” โดยเฉพาะท่อนที่คนจำได้ขึ้นใจว่า “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” นั้นสื่อความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เทียบกับความเป็นหญิงจากจินตภาพ “เห็นทรวงฟ้ากว้าง” ในเพลง “ไม่ขอเป็นดาว”
ทั้งหมดนี้เพื่อจะสื่อว่าโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ความทรงจำเดือนตุลานั้นถูกกำกับและครอบงำด้วยความคิดชายเป็นใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นชายและผู้ชายมากเป็นพิเศษ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการตัดตอนเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” มาผสมกับเพลง “ไม่ขอเป็นดาว” เพื่อสร้างเพลงเมดเลย์ อาจเป็นกลวิธีของบทกวีชิ้นนี้ที่จะตัดและตอนความเป็นชายในความทรงจำเดือนตุลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงสร้างใหม่ของนางพรานเถื่อนนั้น การจงใจตัดทิ้งวรรคทองที่ว่า “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” และแทนที่ด้วย “ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย” เป็นมากกว่าการสร้างสัมพันธบท แต่คือการลดทอนความเป็นชายอันล้นเกินที่ครอบงำความทรงจำเดือนตุลา
ขณะเดียวกันก็นำผู้หญิงและความเป็นหญิงกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำเดือนตุลา โดยเฉพาะการสร้างตัวละครนางพรานเถื่อนให้ลุกขึ้นมาเขียนความทรงจำของนางในลักษณะที่ตอบโต้กับความทรงจำเจ้าขุนทองดังที่กล่าวมาแล้ว
อีกกลวิธีหนึ่งที่บทกวีนี้ใช้เพื่อแทรกแซงความเป็นชายในความทรงจำเดือนตุลาคือการขับเน้นความเป็นสมุดบันทึกในฐานะการเขียนของผู้หญิง
ดังจะพบว่าขณะที่ความทรงจำเดือนตุลาของคนตุลาจะอยู่ในรูปของบทกวี ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าขุนทอง” และ “แสงดาวแห่งศรัทธา” หรือในรูปของเรื่องสั้น “ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” ในทางตรงกันข้ามบทกวีชิ้นนี้เลือกเรียกข้อเขียนตัวเองว่าบันทึกดังจะเห็นจากชื่อ “ในสมุดบันทึก”
ในด้านรูปแบบการเขียน ก็เห็นชัดเจนว่าจงใจไม่ยึดแบบแผนฉันทลักษณ์มาตรฐานของร้อยกรองไทย แต่สร้างแบบแผนจังหวะและสัมผัสของตนเองขึ้นมาใหม่ ที่ผสมผสานระหว่างภาษาและเสียงอันหลากหลายไม่ได้ผูกขาดไว้ด้วยเสียงของกวีเพียงเสียงเดียว เหมือนเช่นที่พบในบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ หรือสุจิตต์ วงษ์เทศ
แรกเริ่มเดิมที การเขียนบันทึกรายวันหรือไดอารี่ มีเพื่อบันทึกเรื่องราวรอบตัวที่สำคัญ และควรค่าต่อการบันทึก โดยเฉพาะเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม หรือการเดินทางไปยังดินแดนต่างถิ่น ส่วนใหญ่มีผู้ชายเป็นผู้จดบันทึก
เมื่อเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น การเขียนไดอารี่กลายเป็นรูปแบบการเขียนเพื่อบันทึกเรื่องลับส่วนตัว หรืออารมณ์ความรู้สึกส่วนลึกของผู้บันทึก มักถูกมองว่าเป็นกิจกรรมของผู้หญิง หรือถูกทำให้มีความเป็นหญิง เป็นต้นว่า สำนวน “Dear Diary” กลายเป็นแบบฉบับของการเขียนคำขึ้นต้นในสมุดไดอารี่
การเลือกนิยามข้อเขียนชิ้นนี้ว่าเป็นสมุดบันทึกจึงเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้หญิง เพื่อเทียบแย้งกับความเป็นชายที่มากับรูปแบบกวีนิพนธ์ว่าด้วยความทรงจำเดือนตุลา และเตือนรำลึกเราว่ายังมีเรื่องราวอารมณ์ความรู้สึกอีกมากมายของผู้หญิงในอดีตที่ไม่ถูกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำเดือนตุลา
ความเป็นสมุดบันทึกในบทกวีชิ้นนี้ไม่เพียงทำหน้าที่เปิดพื้นที่ให้กับความเป็นหญิงในความทรงจำเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการตั้งคำถามกับสถานะของความทรงจำและความเป็นกวีนิพนธ์ด้วย
บทกวีชิ้นนี้ตั้งชื่อว่า “ในสมุดบันทึก” และขึ้นต้นด้วยคำว่า “ในสมุดบันทึก” การซ้ำข้อความในที้นี้บังคับผู้อ่านต้องอ่านคำว่า “ในสมุดบันทึก” ซ้ำสองครั้ง ครั้งแรกในฐานะชื่อบท ครั้งที่สองในฐานะตัวบท
ลักษณะซ้ำสองที่เหมือนและไม่เหมือนกันในเวลาเดียวกันของสมุดบันทึกเป็นจุดเด่นที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ ดังจะพบว่าบทกวีชิ้นนี้มีสมุดบันทึกอยู่สองเล่มคือ สมุดบันทึกของฉันในตอนต้น และ “สมุดบันทึก” ของนางพรานเถื่อนในครึ่งหลัง
เล่มแรก อยู่ในรูปของการเขียน เล่มหลัง ในรูปของการร้องเพลง เล่มแรกพูดถึงการมีและ/หรือไม่มีอยู่ของดาวในเชิงโรแมนติก-เรียลลิสติก-ฟิสิกส์-เมตาฟิสิกส์-ญาณวิทยา เล่มหลังพูดถึงความหมายที่มีอยู่หรือไม่มีอยู่ของดาวในฐานะสัญลักษณ์ของคน-องค์กร-ความคิด-ความเชื่อในสังคมไทย
และแน่นอนว่าชื่อบทกวี “ในสมุดบันทึก” ทำให้บทกวีชิ้นนี้มีฐานะเป็นสมุดบันทึกที่จดบันทึกสมุดบันทึกของ “ฉัน” และ “นางพรานเถื่อน” อีกทอดหนึ่ง
การจดบันทึกและสมุดบันทึกโดยตัวมันเองก็มีลักษณะซ้ำสองที่เหมือนและไม่เหมือนเดิม กล่าวคือ โดยทั่วไปเราเชื่อว่าการจดบันทึกคือเก็บรักษาสิ่งที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นมิให้สูญหาย ด้วยเหตุนี้เราจึงมั่นใจว่าความทรงจำและอดีตในรูปของสมุดบันทึกมีความเที่ยงตรงและเป็นจริงน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม การจดบันทึกไม่อาจจะผลิตซ้ำหรือจำลองสิ่งที่มันบันทึกได้โดยสมบูรณ์ เนื่องจากต้องแปรสิ่งที่เกิดขึ้นให้อยู่ในรูปของถ้อยคำในภาษา การจดบันทึกจึงเป็นการซ้ำสองที่เหมือนและไม่เหมือนกันในเวลาเดียวกัน
เช่น “ฉัน” จดบันทึกบทสนทนากับเพื่อนว่าด้วยดาว สมุดบันทึกอาจช่วยเก็บรักษาบทสนทนาดังกล่าวไว้มิให้ล่องลอยหายไปในอากาศธาตุ ทันทีที่คำพูดถูกเปล่งออกมา และช่วยให้ “ฉัน” รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยพูดอะไรกับเพื่อนบ้าง แต่ข้อความในสมุดบันทึกไม่สามารถถ่ายทอดน้ำเสียงในบทสนทนา หรือกระทั่งใบหน้า ท่าทางของคู่สนทนาได้ครบถ้วน ดังที่ “ฉัน” อดรำพึงไม่ได้ว่า “ไม่แน่ใจว่าฉันบันทึกบทสนทนานี้ลงสมุดบันทึกทำไม”
ในทำนองเดียวกัน บทกวีได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของภาษาในการถ่ายทอดเสียง ดังเช่นที่นางพรานเถื่อนไล่เทียบเสียงวรรณยุกต์ของคำว่า “เห็น” ว่าควรเป็นไม้ตรี หรือไม้ไต่คู้ หรือไม้โท จึงจะสามารถถ่ายทอดระดับของเสียงได้ตรงกับเสียงที่เธอตั้งใจร้อง
ดังนั้น แม้ในแต่ระดับที่เล็กและดูไม่สลักสำคัญใดๆ อันได้แก่ระดับเสียงของคำ ภาษาเขียนยังไม่สามารถจะจำลองและบันทึกได้อย่างเที่ยงตรง
ที่สำคัญคือ ในคืนที่มีการอ่านบทกวีชิ้นนี้เป็นครั้งแรกก่อนการฉายภาพยนตร์เรื่อง ดาวคะนอง กวีจงใจเล่นกับข้อจำกัดของการเขียนและความไม่เที่ยงตรงของภาษา
กล่าวคือ ในท่อนที่เป็นเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” และ “ไม่ขอเป็นดาว” นั้น กวีเลือกใช้วิธีร้องออกมาเป็นเพลงแทนการอ่าน ส่งผลให้บทกวีชิ้นนี้ในคืนนั้นโดยตัวมันเองกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจดบันทึกในรูปของบทกวีได้ เพราะบทกวีบนหน้ากระดาษไม่สามารถจะบันทึกและถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่กวี อ่าน/ร้อง บทกวีชิ้นนี้ได้ครบถ้วนและเที่ยงตรง
บทกวี “ในสมุดบันทึก” ที่เราอ่านจึงเป็นเพียงบทบันทึกการอ่านบทกวีในวันที่ 6 ตุลาคม 2559 และนี่คือความเป็น meta-poetry ของบทกวีชิ้นนี้ที่ล้อและเล่นกับข้อจำกัดของการเขียนบันทึกและ/หรือบทกวี เพื่อตั้งคำถามกับสถานะของความทรงจำในบทกวีและกวีนิพนธ์เพื่อความทรงจำ
บทบันทึก/บทกวีชิ้นนี้เป็นการเกษียน/เกษียณความทรงจำเดือนตุลาผ่านการเขียนบันทึกแทรกและซ้อนทับลงไปบนบันทึกความทรงจำเดือนตุลาที่เคยมีมา กล่าวคือ มันหวนกลับไปเขียนใหม่ความทรงจำเดือนตุลาและคนเดือนตุลาในลักษณะที่เหมือนกับการเกษียนบันทึก ในรูปของการสร้างสัมพันธบทแบบสองทิศทางระหว่างวรรณกรรมเดือนตุลากับบทกวี/บทบันทึกชิ้นนี้
ขณะเดียวกัน บทกวี/บทบันทึกชิ้นนี้ก็ตอกย้ำถึงสถานะและข้อจำกัดของการบันทึกความทรงจำ ซึ่งจนแล้วจนรอดก็เป็นเพียงการกระทำซ้ำสองที่ทั้งเหมือนและไม่เหมือนเดิม ดังนั้นจึงเป็นการสร้างอดีตใหม่ซ้อนทับบนอดีตเดิม เป็นการเกษียน (เขียน) ความทรงจำใหม่ ด้วยการเกษียณ (ปลดระวาง) ความทรงจำเดิม
ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือความเป็น meta-poetry ของบทกวีชิ้นนี้ที่ล้อและเล่นกับความเป็นกวีนิพนธ์/ความเป็นสมุดบันทึกของตัวมันเอง อันแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้อย่างเจียมตนในข้อจำกัดของตัวเองว่า วันหนึ่งมันก็จะต้องถูกเกษียน/เกษียณ เช่นเดียวกัน
และด้วยเหตุนี้จึงชิงเกษียน/เกษียณตัวมันเองตั้งแต่วันแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมา นั่นคือวันที่กวีนำบทกวีชิ้นนี้ไปร้อง/อ่านก่อนการฉายภาพยนตร์ ดาวคะนอง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2559
หมายเหตุ : ผู้เขียนขอขอบคุณอาจารย์สายัณห์ แดงกลม ที่กรุณาช่วยอ่านบทความชิ้นนี้และตั้งข้อสังเกตอันลุ่มลึก จนสามารถกลายเป็นบทความอีกชิ้นหนึ่งได้โดยตัวของมันเอง
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 – 29 มีนาคม 2561 และ ฉบับวันที่ 30 มีนาคม – 5 เมษายน 2561