ปีศาจที่ชื่อว่าไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นในเกาะสวยน้ำใสแจ๋ว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเกาะแสนสวยน้ำใสแจ๋วแหวว นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นเรือมามักจะได้ยินเสียงเรียกเล็กๆน่ารักจากเด็กหญิงสองคนในคืนเดือนหงาย

“คุณคะๆ ช่วยถ่ายรูปให้เราสองคนหน่อยได้ไหมคะ” เสียงเล็กๆสองเสียงถามขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์คนหนึ่งตกหลุมรักเด็กสาวหน้าตาน่ารักสองคนที่มาขอให้เขาช่วยถ่ายรูปให้ เขายกกล้องตัวเองขึ้นถ่ายรูปเด็กน้อยทั้งสองหลังจากส่งคืนกล้องโทรศัพท์ให้สาวน้อยแล้ว แต่พลันกล้องราคาแพงลิบสำหรับช่างมืออาชีพของเขาก็ละลายหายไปจากมือ และเด็กหญิงน่ารักสองคนตรงหน้าก็หายไปราวกับไม่เคยมีเธอสองคนยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน

สิ่งที่ชายหนุ่มได้เจอเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายต้องเจอหลังจากขึ้นเรือมาลงที่เกาะนี้ พวกเขาถูกหลอกหลอนโดยปีศาจ ปีศาจเล็กๆสองตน ที่ชาวเมืองเรียกว่า “ไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่น” นิสัยของปีศาจคู่นี้ก็คือชอบขโมยโทรศัพท์หรือกล้องของนักท่องเที่ยวเป็นประจำ แต่นี่เป็นแค่นิสัยที่เพิ่งมีได้ไม่นาน เพราะก่อนหน้านี้กว่าหลายร้อยหลายพันปีเจ้าปีศาจทั้งสองไม่รู้จักการเซลฟี่ ชาวเมืองต่างป้องกันความวุ่นวายจากไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นด้วยการวางของเล่นหรือขนมเล็กๆน้อยๆไว้หน้าบ้านยามเมื่อเดือนหงาย นานๆทีไอ้เด็กสองคนนั่นจะอาละวาดด้วยการไล่เคาะประตูบ้านเสียงดัง หรือขึ้นไปตีระฆังที่โบสถ์กลางเมือง หรือหมุนเข็มนาฬิกาประจำเมืองเล่นจนตารางการเดินรถบนเกาะผิดเพี้ยน นักท่องเที่ยวรอนานยาวเหยียด

แต่พอไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นรู้จักกับการเซลฟี่เพราะกระแสของนักท่องเที่ยวที่เริ่มเข้ามาที่เกาะ ก็ทำให้พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการใช้มนตร์ขโมยกล้องและโทรศัพท์แทน ชาวเมืองต่างต้องคอยเตือนนักท่องเที่ยวด้วยการแปะป้ายเตือนไว้บนเรือ และท่าเรือด้วย แต่ นักท่องเที่ยวบางคนก็ไม่ได้อ่านป้าย และยิ่งโดนมนตร์จากเสียงเล็กๆสดใสนั่น พวกเขาก็พร้อมจะยินดีถ่ายรูปให้ไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นอย่างง่ายดาย

แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกน่า เมื่อไอ้เด็กสองคนนั่นเริ่มขโมยหนักขึ้น พวกมันไปขโมยกล้องหลายต่อหลายตัวของช่างภาพระดับโลกที่เดินทางมาเก็บภาพทำสารคดีที่เกาะ กล้องของเขาหายไปทั้งสี่ตัว เหลือแค่กล้องเล็กๆกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องเท่านั้น ช่างภาพทนไม่ไหวจึงเดินทางไปหาผู้นำเกาะเพื่อร้องเรียน การร้องเรียนของเขาดังออกไปจนคนอื่นๆที่เคยโดนและไม่เคยโดนแต่อยากจะมีส่วนร่วมด้วยก็ช่วยกันแชร์และเดินทางมาร่วมร้องเรียนไปด้วย แม้ว่าบางคนกล้องของเขาจะไม่เคยหายและไม่เคยได้เจอไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นเลยก็ตาม

เมื่อคนมาร้องเรียนมากขึ้นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต โอ้โห แบบนี้ผู้นำเกาะก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ เขาจึงเรียกประชุมคณะกรรมการเมืองเพื่อมาตัดสินใจและวางแผนเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ทั้งหมดในที่ประชุมลงความเห็นว่าจะต้องจัดการไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นให้เรียบร้อยเพราะพวกมันหลอกหลอนชาวเมืองมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว แถมบางครั้งยังมาชักชวนให้ลูกๆของพวกเขาดื้อกับพ่อแม่อีกด้วย

แล้วแผนของพวกเขาก็คือ !!!! จัดงานเลี้ยงในเมืองขึ้นแล้วจัดซุ้มถ่ายรูปฟรีในคืนเดือนหงาย เพื่อล่อให้ไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นมาที่งานและจับมันทั้งคู่ไปเผาไฟ แต่การจะทำแบบนั้นไม่ง่าย เพราะไม่เคยมีใครเห็นไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นถ้ามันไม่ได้อยากปรากฎตัวให้เห็น ยกเว้นแต่ว่าจะใช้กล้องแบบโพลารอยด์ที่ปริ้นท์รูปของพวกมันออกมาได้เลย แต่กล้องโพลารอยด์ก็ไม่ได้จะหาซื้อได้ง่ายๆในยุคนี้ คณะกรรมการเมืองต้องสั่งตรงมาจากเมืองจีน เพราะใกล้ที่สุดแล้ว แล้วก็เอามาร่ายมนต์ในคืนเดือนมืดโดยผู้เฒ่าผู้แก่ที่สุดของเกาะ พวกเขาร่ายมนต์ของคนแก่เพื่อให้กล้องนี้สามารถถ่ายไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นติด แล้วทำให้พวกมันเผยตัวออกมาให้ผู้คนเห็นหลังจากได้ถ่ายรูปไปแล้ว

พวกเขาประกาศจัดงานอย่างรวดเร็วหลังจากพิธีกรรมของคนแก่ผ่านไปด้วยดี ซุ้มถ่ายรูปด้วยกล้องโพลารอยด์ฟรีถูกตั้งอยู่กลางงานอย่างเด่นชัดกว่าซุ้มอื่นๆ ผู้คนในเมืองและนักท่องเที่ยวต่างเสแสร้งทำเป็นสนุกสนาน เด็กๆถูกกันไม่ให้เข้ามาร่วมงาน ความสนุกสนานปลอมๆถูกจัดขึ้นตั้งแต่หัวค่ำจนใกล้เช้า แล้วไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นก็ปรากฎตัวต่อหน้าชายผู้เฝ้าซุ้มถ่ายรูป ท่าทางพูดคุยกับอาการของเขาทำให้คนอื่นๆที่คอยสังเกตอยู่รู้ได้ในทันทีว่า ไอ้เด็กสองคนนั่นมาอยู่ในงานเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำหน้าที่ถ่ายรูปให้ปีศาจคู่นั้นอยู่ ชาวเมืองที่เหลือก็ค่อยๆเตรียมการเพื่อจับพวกมัน ทันทีที่รูปจากฟิล์มโพลารอยด์ถูกปริ้นท์ออกมา ร่างกายของไอ้เด็กสองคนนั่นก็ปรากฎต่อหน้าชาวเมืองทุกคน มนตร์พรางตัวของพวกมันเสื่อมไปแล้ว

ผู้คนในเมืองต่างเข้าตะครุบตัวไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่น จับมันทั้งคู่มัดไว้ แล้วแบกไปริมหน้าผาเพื่อจะเผาพวกมันเสีย เพื่อให้ความน่าเชื่อถือของนักท่องเที่ยวกลับมา เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของเกาะ และลดความหวาดกลัวของผู้คน เพียงแค่เผาพวกมันทุกอย่างก็จะดีขึ้นทันตาเห็น

ไอ้เด็กสองคนนั่นดิ้นรนจากการจับกุมของชาวเมืองแต่พวกมันก็หนีไปไม่รอด ตนหนึ่งร้องไห้เสียงดังน้ำตาพร่างพรู อีกตนหนึ่งหัวเราะเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ พวกมันประสานเสียงไปจนกระทั่งพวกเขาเอาผ้ามาปิดปากพวกมันไว้ แต่ระยะทางจากศาลากลางเมืองไปถึงหน้าผาก็ไกลพอจะทำให้น้ำลายของปีศาจน้อยๆละลายผ้าที่ปิดปากพวกมันออกไปได้

พวกเขาจับมันมัดกับเสาไม้ไว้ก่อนจะพากันเอาไม้และเชื้อไฟอื่นๆมากองรวมกัน ผู้เฒ่าผู้แก่เดินทางมาเพื่อดูพิธีกรรมและสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้การเผาปีศาจครั้งนี้ เมื่อผ้าปิดปากขาดออก เด็กทั้งสองก็อยู่บนเสาที่กำลังจะถูกเผาไฟแล้ว ตนหนึ่งยังร้องไห้ ร้องไห้ปานจะขาดใจ จนหญิงคนหนึ่งตะโกนมาจากที่ใดที่หนึ่งว่า “พวกเขาเป็นแค่เด็ก หยุดเถอะ” แต่เสียงนั้นก็ถูกกลบลงไปเพราะปีศาจอีกตนหนึ่งหัวเราะออกมาอย่างดัง ชาวเมืองได้ยินเพียงเสียงหัวเราะและพวกเขาก็โกรธเกรี้ยวเร่งเผาไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่น

ผู้นำของเกาะถือคบไฟเดินตรงมาขณะที่พระจันทร์เดือนหงายยามรุ่งเช้ายังคงส่องแสงและพระอาทิตย์ยังมาไม่ถึง ไอ้เด็กทั้งสองตะโกนขึ้นฟ้าร้องเรียกให้ช่วยก่อนที่เพลิงจะค่อยๆเผาลามจากเชื้อไฟไปถึงตัวของพวกมัน เสียงชาวเมืองโห่ร้องยินดีกับชีวิตที่กำลังจะดับของพวกมัน

มนตร์ของดวงจันทร์ส่องแสงลงมากระทบเปลวไฟที่พวยพุ่งจากร่างปีศาจตัวน้อยๆทั้งสอง ร่างของมันทั้งคู่กลายเป็นลูกไฟเล็กๆพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเช้าแล้วค่อยๆตกลงไปในน้ำทะเล ปรากฎเป็นลูกไฟเล็กๆกระจายล้อมรอบเกาะเอาไว้ ชาวเมืองต่างพิศวงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาได้กล้องและโทรศัพท์มือถือคืนในทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น แต่กล้องของช่างภาพมืออาชีพคนนั้นกลับไม่ปรากฎออกมา และบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอาจจะไม่ได้มาจากไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั้น แต่เป็น คนอื่น

บางคนที่พยายามเขี่ยลูกไฟในทะเลเข้ามาเพื่อจับดู ก็พบว่ามันร้อนลวกมือเขาจนพอง ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ลูกไฟเหล่านั้นกลายเป็นแมงกระพรุนไฟที่อยู่ล้อมรอบเกาะไกลกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร ชาวเมืองจะไม่อาจลงไปว่ายน้ำหรือจับปลาบริเวณใกล้ๆอย่างที่พวกเขาเคยทำได้อีกต่อไป เมื่อพวกเขาเปิดกล้องและโทรศัพท์ออกดูก็พบรูปถ่ายของไอ้เด็กสองคนนั่นหลายต่อหลายรูปในโทรศัพท์ของพวกเขา หญิงคนเดียวกับที่เคยตะโกนอย่างไร้คนฟังร้องไห้ออกมาเมื่อพบว่าแท้จริงแล้วไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นใช้การขโมยเพราะแค่ต้องการให้ชาวเมืองเห็นพวกมัน รับรู้ถึงการมีอยู่ และยอมรับพวกมันเท่านั้นเอง พวกมันไม่ได้ต้องการของเล่นหรือขนมมากไปกว่าการยอมรับและการรับรู้ในการมีอยู่ของพวกมัน บางคนที่เห็นมันไม่ใช่เพราะพวกมันต้องการให้เขาเห็น แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ปิดใจที่จะเห็นพวกมัน ดังนั้นคนที่เห็นพวกมันส่วนใหญ่คือนักท่องเที่ยว แต่ชาวเมืองกลับไม่เคยมองเห็นพวกมันเลย

ตอนนี้ร่างกายของไอ้เด็กสองคนนั่นกระจายให้ผู้คนได้รับรู้การมีอยู่ของพวกมัน กระจายเพื่อครอบครองพื้นที่และจะไม่มีชาวเมืองคนใดรอดพ้นจากพิษร้ายร้อนแรงเมื่อพวกเขาลงน้ำ ความสุขจากการเล่นน้ำของพวกเขาจะหายไป

 

เมื่อสำนึกเกิดขึ้นก็สายเกินไป ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่แก้ไขสิ่งที่พวกเขาทำผิดพลาดไป เพื่อรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือของเกาะและเอานักท่องเที่ยวกลับมา พวกเขาจึงเอาของเล่นและขนมรวมทั้งกลีบดอกไม้สีขาวมาโปรยลงในทะเลรอบๆเกาะ เพื่อแสดงความเสียใจและขอโทษ เพียงหวังว่าวันหนึ่งแมงกระพรุนไฟจะหมดไปและพวกเขาจะลงเล่นน้ำได้ดังเดิม แต่ก็มีบางส่วนที่ทำไปเพราะคิดถึงเด็กๆและระลึกถึงพวกมันจริงๆ บางบ้านเก็บรูปของไอ้เด็กสองคนนั่นไว้บนผนังเพื่อระลึกว่าจะต้องใส่ใจเด็กๆมากขึ้นแค่ไหน

พวกเขาทำแบบนี้ทุกปีจนเริ่มกลายเป็นงานประจำปี และจำนวนของแมงกระพรุนไฟก็ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ มนต์ตราแห่งไอ้เด็กผู้หญิงสองคนนั่นอาจจะเริ่มคลาย แต่ ไม่ใช่หรอก ไม่ได้คลายไปไหน และก็ไม่ได้มีการสลายหรือละลายไปของไอ้เด็กสองคนนั้นตามที่ชาวเมืองกับนักท่องเที่ยวคิดสักนิด

เพราะที่จริงน่ะ พวกมันไม่ได้ตายหรือสลายไปเพราะไฟเผา พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำทะเล และแสงจันทร์ฝากไว้กับแมงกระพรุนจนคลอดออกมา พวกมันมีชีวิตอมตะอย่างแมงกระพรุนและไม่มีวันแก่ชราลงไป แสงจันทร์ผู้ให้กำเนิดรับรู้ถึงการร้องขอความช่วยเหลือของพวกมัน จึงซ่อนพวกมันไว้ในแสงยามเช้าแล้วกระจายออกเป็นแมงกระพรุนหลายพันหลายหมื่นตัว รอจนพวกมันแข็งแรงอีกครั้งและแข็งแรงกว่าเดิมจึงคืนมันให้ท้องทะเล ของเล่นและสิ่งต่างๆที่ความรู้สึกสำนึกเสียใจของมนุษย์บนเกาะโยนลงไปเป็นกำไรของไอ้เด็กสองคนนั่น พวกเขาสร้างวิหารน้อยๆให้พวกมันได้พักอาศัย พวกมันยังสนุกสนานกับความกลัวของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่กล้าลงมาเล่นน้ำทะเล และท้องทะเลรอบๆเกาะจะเป็นของพวกมันเท่านั้น พวกมันได้รับการระลึกถึง ได้มีเรื่องราว ได้เป็นเรื่องเล่า ได้มีตัวตนแล้ว “ไม่มีอะไรสร้างมูลค่าและราคาได้เท่าความสำนึกเสียใจของมนุษย์หรอก” ไอ้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับไอ้เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็หัวเราะเสียงดังไปด้วยกัน