ตัวละครมีชีวิต | From the third person to the first person

เสียงตอบรับของบรรดา "ตัวละคร" ต่อหนังสือ | The "characters" speak

"... ทุกคนเลย ทุกคนเลย ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนหนังสือเล่มนี้"
— กอฟ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง

-------------

มาลองฟังเสียงจากบรรดา “ตัวละคร” ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้กันบ้างว่าพวกเธอคิดอย่างไร
ทั้งต่อเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าในหนังสือ และต่อความหมายของการได้บอกเล่า

วิดีโอจัดทำโดย กลุ่ม Fairly Tell และสำนักพิมพ์อ่าน

ตัวละครมีชีวิต ใน "มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ"

เมื่อ "ตัวละคร" กลายเป็นผู้เล่า | Off the page

คำแถลงจาก ภรณ์ทิพย์ มั่นคง
11 กรกฎาคม 2562 - Facebook

โปรเจค #เรื่องของพลอย นี้ สืบเนื่องมาจากภรณ์ทิพย์เชื่อว่าทุกคนเล่าเรื่องของตัวเองได้ อย่างที่ภรณ์ทิพย์เล่านี่แหละ แล้วคุณป้า บ.ก.ก็รับปากเป็น บ.ก.กรองรอบสุดท้ายให้อีก ความลิงโลดก็บังเกิด

พวกเราได้คัดเลือกคนที่มีแววที่สุดก่อน คือ พลอย แล้วเริ่มให้พลอยเขียน โดยได้เสนอเงินให้พลอยเป็นค่าเรื่อง 10 ตอน 1,000 บาท
//ถามว่าทำไมให้ได้แค่นั้น ก็ภรณ์ทิพย์หาเงินได้เท่านี้แหละค่ะ//

และตกลงกันไว้ว่าถ้าหากว่าได้ยอดไลค์ เท่าไหร่ก็คิดให้ไลค์ละ 50 สตางค์

ทำไมถึงจะต้องจ่ายเงินให้กับเรื่องเล่า ของพลอยด้วยล่ะ เหตุผลง่ายๆเลยที่ภรณ์ทิพย์มีอยู่ในหัวตลอดก็คือ เรื่องพวกนี้มันมีมูลค่าของมันเอง จ่ายน้อยหรือจ่ายมากก็ต้องจ่าย เพราะตอนที่เขาอยู่ข้างในนั้นและประสบการณ์ที่เขาได้รับ มันแลกมากับเวลา ความรู้สึก ร่างกาย และชีวิต

เวลาที่ให้เพื่อนๆไปออกงานหรือไปพูดที่ไหน ไม่ว่าคนจัดงานจะมีเงินให้หรือไม่มีเราก็จะต้องหาเงินให้เพื่อนเหมือนกัน เพราะเรายึดหลักการที่ว่าเรื่องราวของทุกๆคนมีมูลค่า ไม่ใช่แค่คุณค่า

เรื่องของพลอย ตอนที่ 1

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 25 มิถุนายน 2562 – Facebook

ความไว้ใจ เชื่อใจนำพาฉันไปติดคุก แต่การติดคุกรอบนี้ฉันไม่ได้ไป…คนเดียว ฉันพาลูกที่อยู่ในท้องเข้าไปเผชิญชะตากรรมนี้ด้วย มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉันเสียใจที่สุด และทำให้ฉันเคียดแค้นทุกคนที่ทำให้ฉันต้องเข้าไป

ในเมื่อมันเป็นการติดคุกรอบที่สองของชีวิต ฉันรู้ได้ว่าฉันจะต้องเจอกับอะไรบ้างในโลกสี่เหลี่ยมหลังกำแพงนั้น เอาเข้าจริงจะเจอกับอะไรฉันก็ไม่หวั่นถ้าเจ้าตัวเล็กไม่ติดท้องเข้าไปด้วย ความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสับสนวุ่นวายใจที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมันเข้าขั้นวิกฤต เพราะนอกจากลูกที่ติดท้องเข้ามา ฉันไม่มีอะไรเลย ไม่มีเงิน และไม่มีญาติพี่น้องที่จะมาเยี่ยม

วันแรกของฉันที่ก้าวเข้ามาในคุก ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น ผู้ต้องขังทุกคนขึ้นเรือนนอนและทำกิจกรรมกันหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงผู้ช่วยงาน ทุกคนที่มาพร้อมกับฉันถูกต้อนให้เข้าแถว คนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกก็จะไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ บางคนถูกตวาดจนร้องไห้ แต่ฉันเข้าใจมันดี

หลังจากผู้ช่วยงานจัดแถวเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ตรวจตัวและสอบประวัติแยกห้อง ฉันถูกจัดเข้าห้อง 1/2  เป็นห้องรับผู้ต้องขังเข้าใหม่คดียา มื้อแรกของฉันคือแกงกะทิใส่มันเทศ ที่มีแต่น้ำและเศษมันเหลือติดก้นหม้อนิดหน่อย ไม่มีใครมีอารมณ์กินข้าว เพราะเสียงโหวกเหวกโวยวายเร่งให้พวกเรารีบทำภารกิจ บวกกับความเครียดที่ทุกคนแบกเข้ามา ตอนนี้คำนำหน้าของทุกคนได้เปลี่ยนเป็น ผู้ต้องขังหญิง (ขญ.) แล้ว

หลังจากนั้นผู้ช่วยงานก็พาไปอาบน้ำ ฉันได้รับชุดหลวงเหม็นๆ สองชุด ชุดชั้นในอย่างละหนึ่งชุด แปลงสีฟันหนึ่งอัน ยาสีฟันที่แบ่งใส่ถุงน้ำจิ้ม และตะกร้าสบู่รวม ที่ใครใช้อาบมาแล้วบ้างไม่รู้ ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ผ้าที่ใส่แล้วต้องเอาไว้ไหน ของใช้ที่แจกมาให้อย่างน้อยนิดต้องเก็บยังไง ทุกอย่างรีบเร่งไปหมด ฉันรู้สึกวุ่นวายอยากจะขึ้นไปพักที่ห้องเสียที

แล้วก็ได้เวลาที่ต้อง “ขึ้นขัง” ทุกคนใส่ชุดหลวงนั่งรอเป็นแถวเพื่อจะเข้าห้องที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ฉันเดินตามเจ้าหน้าที่ขึ้นไปที่ห้อง 1/2  เรือนนอนเพชร บรรยากาศในห้องแออัดมากถึงขนาดนอนตัวเกยกันอยู่แล้วในขณะที่ฉันและอีกหกคนที่มาใหม่ยังไม่ได้ลงที่นอน กลิ่นเหงื่อที่เกิดจากความร้อน และที่นอนที่แคบยิ่งกว่าแคบทำเอาฉันไม่อยากล้มตัวลงนอนเลย เพื่อนบางคนถึงกับนั่งร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตัวฉันนอนคิดถึงคนข้างนอกและชีวิตที่จะเดินต่อไปในนี้ ความเครียดถาโถมจนจะรับไม่ไหว กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้มันไม่ง่ายเลย

เช้าวันใหม่มาถึง เป็นวันหยุด ไม่มีการเยี่ยมญาติ ทำให้บรรยากาศภายในแดนแรกรับดูแออัด ทุกคนต้องนั่งอยู่กับที่ ฉันนั่งที่ใต้ถุนเรือนนอนเพชร ฉันต้องทนกับความแออัดทั้งในห้องนอนและที่นั่งตอนเช้าจนกว่าผลตรวจเลือดยืนยันการตั้งท้องจะส่งมา และนอกจากข้าวสามมื้อที่คุกจัดให้ ฉันก็ไม่ได้กินอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย แต่คนท้องอ่ะนะ เดี๋ยวอยากนั่นเดี๋ยวอยากนี่ บวกกับต้องเข้าห้องขังตอนสี่โมงเย็น ขึ้นไปเเล้วนอกจากน้ำเปล่าก็ไม่มีอะไรให้กินยันหกโมงเช้าของอีกวัน มันเป็นการอดที่ซับซ้อนมาก

การใช้ชีวิตข้างในลำพังตัวเดียวก็ลำบากได้ใจอยู่แล้ว แต่การมีลูกติดเข้าไปมันเลยเป็นการลำบากคูณสอง ไม่ใช่แค่เราที่ต้องทนกับสภาวะที่เจอ  “ลูก” ที่อยู่ในท้องก็ต้องทนเหมือนกัน ฉันกลายเป็นคนไม่มีอัธยาศัย ไม่พูดไม่จา จนคนรอบข้างมองว่าฉันเป็นต่างด้าว เวลาใครถามก็จะไม่ค่อยตอบ ใช้การมองหน้าและหลบตาเป็นการสื่อสาร บวกด้วยผมที่ยาวมากคล้ายกับแรงงานพม่าที่ถูกกวาดต้อนมาจากศาลนนทบุรี

ฉันยอมที่จะอดมากกว่าจะต้องไปอ้าปากขอใคร สิ่งหนึ่งที่ฉันคิด ฉันจะไม่ทิ้งศักดิ์ศรีและความเป็นฉันเด็ดขาด ฉันจะไม่ยอมให้คุกมาเปลี่ยนความเป็นฉันแน่นอน ลูกน้อยของฉันก็ต้องอดไปกับฉัน กินเท่าที่มี ใช้เท่าที่มี ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำงานอะไรให้มีกินมีใช้เพราะฉันกลัวว่าลูกในท้องจะเป็นอันตราย

ฉันอยู่ที่ห้อง 1/2 ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผลเลือดยืนยันว่าฉันท้องก็ส่งมา ฉันถูกย้ายมานอนห้อง 7  เรือนนอนทับทิม ที่ พอมีพื้นที่ให้ขยับหายใจได้บ้าง อยู่ที่ห้องนี้ได้ประมาณหนึ่งเดือนก็ต้องย้ายมาอยู่แดนส่วนปกครอง เรือนนอนเพทาย ห้อง 8 ที่เป็นห้องสำหรับคนท้อง-แม่ลูกอ่อน และคนแก่ ห้องนี้กว้างขวางสบายไม่แออัดเหมือนในแดนแรกรับ เนื่องจากท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้น ฉันคิดถึงแต่คนข้างนอก จมอยู่กับอดีตที่โดนทำร้ายโดยคนที่ฉันไว้ใจ ใช้ชีวิตอยู่ข้างในแบบเบลอๆ อย่างนี้ประมาณสองเดือน

จนวันหนึ่งท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นก็บีบให้ฉันคิดที่จะต้องทำอะไรซักอย่างเพื่ออีกคนที่จะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฉันเริ่มมองหาสิ่งที่ตัวเองทำได้และลองทำทีละอย่าง อย่างแรกรับจ้างซักผ้า ฉันเริ่มรับจ้างซักผ้าของเพื่อนที่เป็นคนท้องเหมือนกันโดยได้ค่าจ้างอาทิตย์ละ 150 บาท ฉันซักผ้าให้เขาได้เพราะเราอาบน้ำรอบเดียวกัน ฉันหาถุงที่ใส่ของเยี่ยมญาติมาซ้อนกันหลายใบเพื่อใส่น้ำแทนกะละมัง ท้องที่ยื่นใหญ่ของฉันทำให้การตักน้ำทำได้ลำบาก ความรีบเร่งทำให้ท้องกระแทกกับขอบแท็งก์อยู่บ่อยๆ บางครั้งฉันซักผ้าเสร็จช้า ก็จะถูกผู้ต้องขังทั่วไปที่ปล่อยออกมาอาบน้ำต่อจากคนท้องวิ่งชน ฉันทำอยู่พักหนึ่งแล้วก็คิดว่ามันไม่เข้าท่า เพราะคนที แย่งกันอาบน้ำกับคนที่มีวิถีรับจ้างเหมือนฉันอาจวิ่งชนกันจนฉันล้มเข้าซักวัน ในช่วงเวลาชุลมุนไม่มีใครมองใครหรอก ทุกคนในคุกต่างรีบเร่งทำภารกิจส่วนของตัวเองเพื่อให้ทันกับเวลาที่คุกกำหนด

ฉันหันมามองหางานใหม่ คราวนี้กลับมามองสิ่งที่เป็นความสามารถของฉัน แล้วอาชีพรับจ้างนวดก็เกิดขึ้นในใจ แต่ก็ยังมีอุปสรรค เพราะไม่มีใครกล้าจ้างฉันนวด เนื่องจากท้องที่ใหญ่ขึ้นและไม่มีใครมั่นใจฝีมือการนวดของฉัน แต่ฉันไม่ท้อ ลูกในท้องทำให้ฉันกล้ามากขึ้น ฉันเริ่มจากเดินบอกคนท้องทุกคนว่าฉันรับจ้างนวด ใครอยากนวดเรียกฉันได้ แล้ววันที่ฉันจะได้แสดงฝีมือก็มาถึง คนแรกที่ให้ฉันนวดคือพี่คนท้องที่นอนข้างๆ ฉันเอง มันราวกับว่าทุกอย่างที่กดทับฉันอยู่เริ่มมีทางออก เงินสามสิบบาทจากการนวดครั้งนั้นมันเป็นแรงผลักดันมหาศาล และหลังจากวันนั้นฉันได้นวดพี่คนนี้ทุกวันจนเป็นการจ้างแบบเงินก้อน นวดสามสิบวันวัน 1,000 บาท ฉันจึงขอให้พี่คนนี้เอาเงิน “เข้าบุ้ค” ให้ฉัน เพื่อจะเก็บเงินไว้สำหรับคลอดลูก ถึงจะอยู่ในคุกแต่ทุกอย่างหลวงก็ไม่ได้ออกให้ ฉันยังต้องจ่ายค่าคลอดเอง

ฉันนวดให้เขาจนครบกำหนดอายุครรภ์ที่ต้อง “ขึ้นแอดมิต” พอดี ฉันต้องย้ายมาแอดมิดที่สถานพยาบาล (พ.บ.) เพราะตอนนี้ฉันท้องเข้าเดือนที่แปด แม้ใกล้คลอดแล้วแต่ฉันยังคงรับจ้างและรับนวดทุกครั้งที่มีลูกค้ามาให้นวด วันหนึ่งๆ ฉันจะได้ลูกค้านวดประมาณสามถึงสี่คน นวดติดๆ กันคนละหนึ่งชั่วโมง ใครจองก่อนก็นวดให้ก่อน ฉันจึงมีรายได้ตกวันละ 90-120 บาท ฉันเก็บเงินทุกบาทมาเปลี่ยนเป็นนมผงและแพมเพิสไว้ให้ลูก ฉันกลัวว่าของเหล่านี้จะมีไม่พอให้ลูกใช้ ฉันจึงต้องหาเงินจากการนวดให้ได้เยอะๆ ฉันรับจ้างนวดจนถึงวันที่ฉันเจ็บท้อง การนวดของฉันถึงได้เวลาหยุดพักเสียที

ฉันจำวันนั้นได้ดี บนเรือนนอนของสถานพยาบาล หลังจากที่ฉันนวดให้คุณยายคนหนึ่งเสร็จ เวลาน่าจะประมาณสามทุ่ม  ทีวีกำลังจะปิดและถึงเวลาที่ทุกคนต้องนอน แต่ฉันกลับนอนไม่หลับทั้งที่ฉันน่าจะหลับเป็นตายจากการใช้พลังนวดมาทั้งวัน ฉันกลับนอนเอามือเล่นกับลูกที่อยู่ในท้องจนสี่ทุ่มถึงได้หลับ แล้วก็สะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนกว่า เพราะฉันรู้สึกเจ็บท้องจี๊ดๆ ขึ้นมา

แต่!! ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการจะคลอดลูกในคุก คุณต้องนับเวลาเจ็บคลอดให้ถูก ถ้าคุณนับไม่ถูกหรือไม่รู้เรื่อง คุณต้องทนนอนเจ็บอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งไปก่อน เพราะคุณจะออกไปคลอดที่โรงพยาบาลได้ก็ต่อเมื่อเจ็บท้องจริงเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการเจ็บหลอก เราต้องหัดนับระยะเวลาการเจ็บท้องให้ถูก เช่น เจ็บทุกๆ ห้านาที เจ็บครั้งละสี่สิบห้าวินาที เราต้องบอกระยะเจ็บท้องกับคนดูแลก่อนเป็นด่านแรก คนดูแลจะจับเวลาและถามเราอีกครั้ง ถ้าเราตอบถูก เขาก็จะส่งนาฬิกาให้เราจับเวลาว่าเราเจ็บท้องถี่ขึ้นไหม จากนั้นก็สวนวัดช่องคลอดว่าเปิดกี่เซนติเมตร ถ้าเปิดถึงสี่ซม.แล้วจึงจะกดกริ่งเรียกพยาบาล พาเราออกจากห้อง เตรียมชุดคลอดและกรอกประวัติอีกครั้ง จากนั้นก็ทำความสะอาดช่องคลอด โกนขนวัดหาคลื่นหัวใจเด็ก ตรวจภายในอีกครั้งจากพยาบาล ถ้าเกินกว่าห้าซม.ก็เอาออกทันที แต่ถ้ายังไม่ถึง เราก็ต้องนอนรอยูในเรือนจำก่อน

ฉันตื่นมานั่งนับเวลาเจ็บ แต่นับยังไม่ทันรู้เรื่องฉันก็หลับซะก่อน จนเวลาประมาณตีหนึ่งฉันเริ่มไม่ไหว จึงเดินหอบท้องไปบอกคนดูแล กว่าจะได้ออกไปคลอดที่โรงพยาบาลก็ประมาณตีสาม ลูกของฉันกำลังจะออกมาดูโลก แต่มันดันเป็นโลกหลังกำแพงนี่สิ

พลอยเดช

เรื่องของพลอย ตอนที่ 2

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 10 กรกฎาคม 2562 – Facebook

เป็นคนติดคุกไปคลอดลูกมันก็จะมีอะไรที่พิเศษกว่าคนปกติหน่อย

ที่ขามีโซ่ล่าม มือถือของเตรียมคลอดที่เตรียมไว้เอง สวมชุดนักโทษนั่งท้ายกระบะรถเรือนจำ โครตทรหดอ่ะ

เริ่มจากห้องแรก ห้องทำความสะอาดร่างกาย พยาบาลเข้ามาวัดความดัน เปลี่ยนชุดที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สวนก้น เข้าห้องน้ำขับถ่ายของเสีย ไม่ว่าจะอยู่อากัปกิริยาไหน ในมือของฉันก็ต้องนำพาถุงและโซ่ที่ล่ามไว้ไปด้วยตลอดเวลา ถึงแม้ตอนนั้นฉันจะปวดและทรมานแค่ไหน ฉันก็ยังต้องถือสองสิ่งนี้ไว้ในมือ เม็ดเหงื่อที่ท่วมตัว เลือดที่กำลังไหลออกจากช่องคลอด ขาเเข้งที่เริ่มสั่นจากความปวด ฉันก็ยังต้องเอาเจ้าสองสิ่งที่ติดตัวมาเดินไปขึ้นเตียงเพื่อให้พยาบาลเจาะเลือดให้น้ำเกลือ พยาบาลเข็นเตียงฉันไปที่ห้องห้องหนึ่ง แล้วพูดว่า นอนรอที่ห้องนี้แหละ แล้วเดินออกไป ทิ้งฉันและเจ้าหน้าที่ของเรือนจำไว้

ในความคิดฉันตอนนั้น นี่มันไม่ใช่ห้องรอคลอดนิ! มันเป็นห้องเก็บของชัดๆ

แต่เวลานั้นมันก็ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะถามเจ้าหน้าที่หรือพยาบาล เพราะฉันรู้ว่าฉันมาในฐานะนักโทษที่กำลังจะคลอดลูก พวกเขาพาออกมาคลอดที่นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ถ้าถามอะไรออกไปคงไม่ได้คำตอบที่ดีกลับมาแน่นอน ฉันนอนอยู่บนเตียงได้ประมาณห้านาที ก็เริ่มปวดท้องถี่ขึ้น จนต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ขอให้เขาเรียกพยาบาลและเอาพันธนาการที่ติดตัวมาออก เจ้าหน้าที่ไปเรียกพยาบาล แต่พยาบาลกลับเดินมาบอกให้รออยู่ตรงนี้ เขาบอกว่าฉันยังไม่คลอดง่ายๆหรอก ช่องคลอดเปิดไม่กี่เซนติเมตรเอง ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงชิงพูดก่อนที่พยาบาลจะทิ้งฉันไว้

“ลูกคนนี้คนที่สามค่ะ ที่ผ่านมาเวลาคลอดลูก ช่องคลอดไม่เคยเปิดถึงเก้าเซนเลยค่ะ”

พยาบาลเดินกลับมาเอาเสาน้ำเกลือและพาฉันไปยังห้องคลอด ฉันที่ดีใจและโล่งใจ แต่ทุกอย่างมันก็กลับมาแย่อีกครั้ง ภายในห้องคลอดมีเตียงที่กำลังจะคลอดอีกหนึ่งเตียง ข้างๆ ฉันมีผู้ทำคลอดสองคน ในเวลานั้นฉันไม่ได้สนใจหรือคิดอะไรทั้งนั้น ฉันอยากจะคลอดอย่างเดียว มันไม่ไหวแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศรอบๆ ….ห้องคลอดอะไรเงียบขนาดนี้ …

ในขณะที่ฉันพร้อมที่จะถูกทำคลอด แต่ผู้ทำคลอดยังคงพูดแดกดันกับประวัติการรักษาที่ติดตัวฉันไป ฉันตอบทุกคำที่ถาม แม้บางคำถามฉันอยากจะใช้อารมณ์โมโหทั้งหมดตอบกลับไปอย่างที่เขาใช้อารมณ์ถามมา แต่ฉันยังคงนิ่งรักษามารยาทและให้เกียรติสถานที่

ฉันดิ้นทุรนทุรายมือทั้งสองข้างเกาะอยู่บนหัวเตียงเพราะข้างเตียงของฉันไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ แถมเตียงส่วนท้ายก็ขยับออก ถ้าไม่หาที่ยึดฉันต้องดิ้นหล่นจากเตียงเพราะอาการเจ็บท้องคลอดเป็นแน่ ผู้ทำคลอดเดินมาดูฉันและพูดว่า

“อีกนานอ่ะ อยากเบ่งก็เบ่งไป เบ่งให้มดลูกและช่องคลอดมันอักเสบไปเลย ยังไงก็ยังไม่คลอด”

ฉันส่งเสียงให้แรงตัวเองเหมือนตอนที่คลอดลูกสองคนก่อนนี้ มันเป็นเสียงธรรมดาที่สุด เสียงที่ส่งพลังในการคลอดไม่มีทางจะดังขนาดที่จะกลายเป็นเสียงรบกวนได้ แต่สิ่งที่ตามมาคือฉันถูกตวาดอย่างดัง

“ห้ามใช้เสียง”

ฉันถึงกับงง ฉันแค่ส่งเสียงว่า.. ฮึ้บบบบ ! มันดังมากขนาดนั้นเลยรึ คนทำคลอดถึงกับต้องห้ามให้ฉันงดใช้เสียง แล้วยังพูดอีกว่าขอให้ได้ยินแค่เสียงลมหายใจ

พอพูดเสร็จคนทำคลอดก็เดินจากไป ทิ้งคำถามหนึ่งไว้ในใจฉัน เพราะฉันมาในฐานะนักโทษรึเปล่าฉันถึงต้องเจออะไรแบบนี้ ? แล้วความคิดมันก็ค้านกันเอง นักโทษไม่ใช่คนรึไง แล้วผู้ทำคลอดไม่มีคำว่าจรรยาบรรณอยู่ในหัวใจซักนิดเลยสิ ถึงฉันจะมาในฐานะนักโทษ แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะคนไข้ที่รอการรักษาจากคุณอยู่นะ ทุกอย่างโต้ตอบกันอยู่ได้แค่ในความคิดของตัวเอง

ฉันมั่นใจว่าฉันต้องคลอด และนี่ก็คือลมเบ่งของฉัน แต่ผู้ทำคลอดกลับบอกให้รอ และไม่แสดงทีท่าว่าจะเดินมาดูคนไข้อย่างฉันเลย ฉันปวดจนทนไม่ไหว คิดในใจว่าไม่ทำคลอดให้ซักทีใช่ไหม เออ! ฉันทำคลอดตัวเองก็ได้ !! ฉันรวบรวมพลังจนลมเบ่งมาอีกครั้ง ฉันเบ่งของฉันเอง นับจังหวะเอง ครั้งแรกผ่านไป ฉันเบ่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันต้องร้องหาหมอ เพราะถ้าเบ่งรอบนี้ฉันว่าหัวลูกฉันต้องออกมาแน่ๆ และลูกของฉันมีสิทธิตกเตียงได้

คนทำคลอดเดินมาพร้อมกับถุงมือยางข้างเดียว คงเพราะคิดว่ายังไงเด็กก็ยังคงไม่ออก แต่ตรงกันข้าม หัวลูกโผล่ออกจากช่องคลอดของฉันพอดี คนทำคลอดใช้มือข้างที่ใส่ถุงมือถ่างช่องคลอด จนหัวลูกของฉันโผล่พ้นออกมา ฉันเบาปวดลงบ้างขณะนั้น สักครู่ก็มีลมเบ่งอีก เบ่งคราวนี้มาทั้งตัว คนทำคลอดเอาลูกมาไว้บนหน้าอกฉันพร้อมสายสะดือและก็พูดว่า “ดูซะผู้หญิงหรือผู้ชาย” แล้วเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดสายสะดือ

ทุกอย่างดำเนินมาด้วยความเงียบ ฉันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกผิดที่ทำคลอดให้ฉันอย่างนั้นจากเขาเลย ไม่มีคำถามถึงความรู้สึกของฉันจากผู้ทำคลอดแต่อย่างใด มีแต่คำถามที่เกิดในใจของฉัน ฉันมาคลอดที่โรงพยาบาลเพื่อแลกกับการต้องแจ้งเกิดลูกที่ 33/3 เท่านั้นเองใช่ไหม? เพราะในความคิดฉัน นอกจากความสำคัญของสถานที่เกิดในใบแจ้งเกิดลูก ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่ต่างจากการเกิดในเรือนจำเลยสักนิด การคลอดลูกในเรือนจำก็เป็นแบบนี้ หรืออาจจะดีกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เด็กจะได้รับคือในใบแจ้งเกิดจะขึ้นสถานที่เกิดเป็น 33/3 หรือเป็นที่รู้กันว่าทัณฑสถานหญิงกลาง แต่ถ้าเด็กคลอดที่โรงพยาบาล ในใบเเจ้งเกิดจะขึ้นสถานที่เป็นโรงพยาบาลที่เราคลอด ความต่างมีแค่นี้ในความคิดฉันตอนนั้น

ในเวลานั้นฉันคิดได้แค่นั้น ฉันไม่ได้คิดถึงร่างกายตัวเองเลยซักนิด จนหมอบอกถึงน้ำหนักตัวลูก  3,490 กรัม ฉันก็กลับมาคิดถึงช่องคลอดฉันทันที !! ถึงเวลาเย็บแผล ฉันคอยมองตลอดว่าหมอถืออะไรมาบ้าง ใช้เครื่องมืออะไรกับร่างกายฉันบ้าง

ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น …

จะเอาอะไรมากล่ะ ขนาดตอนคลอดยังใช้ค่าสองนิ้วเท่านั้น

สรุปว่าเย็บสด ไม่ฉีดยาชา ฉันก็ทนนะ ไม่ร้อง แต่พอเข็มแทงเข้าเนื้อที่เพิ่งระบม ฉันก็สะดุ้ง แทงทีสะดุ้งที มือเท้าจิกเตียงเกร็งไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ท่าไหนเพราะมัวแต่เกร็ง ได้ยินเสียงหมอพูดว่า

“หอย จะจิ้มหน้าหมออยู่แล้วค่ะ”

ฉันถึงรู้สึกตัวว่าก้นฉันแอ่นตามเข็มจนมันกระดกขึ้นไปสูงพอสมควร

หมอพูดอีกว่า “งั้นแผลที่เหลือรอให้มันสมานกันเองแล้วกัน หมอไม่เย็บให้แล้ว” ถอดถุงมือและเดินจากฉันไป

หมอทำคลอดฉันด้วยสองนิ้ว และ เย็บปากมดลูกให้ฉันครึ่งๆ กลางๆ

ฉันนอนจมกองเลือด รู้ว่าเลือดเลอะขึ้นมาถึงบริเวณขอบเสื้อใน พยาบาลมาเปลี่ยนชุด เปลี่ยนเตียง และทำความสะอาดบริเวณที่ทำคลอด เข็นฉันออกมาจากห้องคลอดมาทิ้งบริเวณทางเดิน แล้วนำลูกมาให้

ลูกฉันไม่ได้อาบน้ำหรือล้างตัว ทางโรงพยาบาลแค่เอาผ้าเช็ดเลือดและไขที่ติดตัวออกเท่านั้น และนำลูกมาส่งให้ฉันที่เตียง ฉันนอนอยู่กับลูกบนเตียงเพื่อรอสังเกตุอาการตกเลือด สักพักก็ได้ยินเสียงจุ๊บๆๆๆ เหมือนดูดอะไรสักอย่าง เจ็บแผลก็เจ็บ กลัวก็กลัว ไม่มีคนเดินผ่าน มีแต่ยุงบินว่อน เสียงนั้นก็ยังไม่หาย ฉันกลั้นใจพยุงร่างลุกขึ้นมานั่ง มองรอบๆ มองลูก และแล้วฉันก็เจอเจ้าของเสียงจุ๊บๆๆๆๆๆๆ

ลูกฉันนอนดูดนิ้วโป้งอยู่ในผ้าที่ห่อตัว 55555…เค้าคงหิ้วนม แต่ฉันไม่มีนมให้ลูกกิน น้ำนมไม่ไหลและนมผงก็ไม่มี เจ้าตัวเล็กดูดนิ้วจนหลับไป ไม่ร้องงอแง

การเฝ้าดูอาการตกเลือดผ่านไปด้วยดี ฉันถูกเข็นออกมาพักฟื้นกับคนทั่วไป แต่เป็นคนคุกก็ต้องมีอะไรที่แหวกออกไปอยู่แล้ว เตียงฉันถูกเข็นมาไว้ปลายเตียงของคนทั่วไป พร้อมกับใส่กำไลข้อเท้า ใกล้ๆ กันกับฉันมีเจ้าหน้าที่สองคนถือกระบองเฝ้าดูฉันอย่างใกล้ชิด ฉันได้กินข้าวมื้อเช้าวินาทีนั้นการรีบทำอะไรให้เสร็จแล้วล้มตัวลงนอนคงจะดีที่สุดสำหรับฉัน ฉันไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมามองใครเพราะ หนึ่ง อายกับความแตกต่างของตัวเองด้วยข้อเท้าที่ล็อกไว้กับปลายเตียง สอง กลัวว่าคนอื่นจะเดินมาคุย แล้วเจ้าหน้าที่จะหาว่าเรา “ตีโบก” หรือส่งซิก ทางที่ดีคือนอนลงไปรอเวลา ฉันต้องรอให้น้ำเกลือหมดถึงจะกลับเรือนจำได้ วันนั้นเป็นวันที่ฉันอยากกลับคุกที่สุดเลย เลือดที่ไหลจนถ่วมถึงหัวมันเลอะเทอะไปหมด คนที่มองเราด้วยสายตาที่แบ่งแยกและอยากรู้ ทำให้ฉันอยากกลับไปอยู่ในที่ของฉันให้เร็วที่สุด

พอน้ำเกลือหมดก็ต้องเปลี่ยนชุดกลับเรือนจำ เจ็บแผลก็เจ็บ อายก็อาย ต้องเอาชุดหลวงที่ใส่มาเมื่อคืนใส่กลับไป ทั้งเหม็นทั้งยับ คนทั้งโรงพยาบาลมองกันไม่ละสายตา ของก็ต้องถือเอง ลูกก็อุ้มเอง แล้วก็เดินไปขึ้นรถเอง ไม่มีรถเข็น ถึงมีรถเข็นก็ไม่มีคนเข็นอยู่ดี ส่วนใหญ่คนที่มาคลอด ถ้าคลอดปกติ รอแค่น้ำเกลือหมดก็กลับเรือนจำ แต่ถ้าผ่าคลอดจะประมาณสองถึงสามวันถึงจะได้กลับ

แต่ไม่ว่าจะกลับตอนไหน ความอับอายก็จะยังอยู่กับเรา เพราะแค่เราใส่ชุดนักโทษก็อายแล้ว เหมือนแกะดำในฝูงแกะขาว มันถูกแบ่งแยกโดยอัตโนมัติ จะอายมากอายน้อยก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่พาเราไปวันนั้นด้วยว่าเขาจะปฏิบัติกับเราแบบไหน ว่าเขาจะเมตตาเราแค่ไหนกัน ขอแค่เวลานี้ผ่านไปเร็วๆ รีบกลับไปให้ถึงประตูเรือนจำ ที่ที่ปลอดภัยจากการแบ่งแยกเร็วๆ ซะที

เรื่องของพลอย ตอนที่ 3

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 15 กรกฎาคม 2562 – Facebook

พอกลับจากไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล เย็นวันเดียวกันนั้นฉันได้กินยาพาราสองเม็ดที่ผู้ช่วยงานเรือนจำขอจากพยาบาลมาให้ หลังจากวันนั้นก็ไม่มียาให้กินอีก ฉันพักฟื้นอยู่ที่สถานพยาบาลของเรือนจำสองวัน แล้วก็ถึงเวลาต้องเริ่มใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนผู้ต้องขังคนอื่นๆ ฉันกลับมานอนที่ห้อง 8 เรือนเพทายตามเดิม

สถานะของฉันเปลี่ยนจากคนท้องมาเป็น “แม่ลูกอ่อน” ตอนนั้นลูกสาวตัวน้อยเหมือนจะไม่ดื้อ ฉันตั้งชื่อลูกสาวว่า “ใบตอง”

ฉันเริ่มเปิดกิจการนวดทันทีโดยที่ร่างกายผ่านการคลอดลูกมาเพียงแค่ 6- 7 วัน ถึงร่างกายฉันจะไม่พร้อม แต่ใจฉันพร้อมมาก ในตอนนั้นฉันคิดว่าลูกฉันยังเล็ก ฉันใช้เวลานี้เก็บหอมรอมริบได้ เพราะลูกยังคงใช้เวลากับการนอนมากกว่าที่จะตื่นมาก่อกวน

ส่วนแผลของฉันที่คุณหมอเย็บไว้ให้แบบครึ่งๆกลางๆ ช่างเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของฉันเหลือเกิน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหมอเย็บไว้ถึงไหนและส่วนไหนที่คุณหมอบอกว่าให้รอมันสมานกันเอง จะถ่ายหนักก็กลัว จะถ่ายเบาก็แสบ

แต่เวลานี้ฉันกลับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเจอเป็นปัญหาใหญ่หลวงต่อการดำเนินชีวิตในคุกของฉันเลยสักนิด อาจเป็นเพราะเจ้าตัวน้อยที่นอนรอฉันอยู่ในที่ของเค้า .. ช่างน่ารัก

ฉันใช้เวลาหลังจากขึ้นขังเปิดกิจการนวด วันหนึ่งจะนวดได้แค่สามคนเท่านั้น บางวันก็อาจจะไม่ถึง เพราะหมอนวดในห้องมีเพิ่มขึ้น ฉันเองก็มีเจ้าตัวเล็กที่ไม่สามารถจะกะเกณฑ์ได้ว่าจะงอแงขึ้นมาตอนไหน บางครั้งลูกค้ามาเรียกไปนวด แต่ลูกสาวดันงอแงขึ้นมา ฉันก็ต้องปฏิเสธไป ลูกค้าก็จะไปเรียกใช้บริการจากคนอื่นแทนเพื่อให้เราดูแลลูก ทำให้บางช่วงบางวันขาดรายได้ไปบ้าง

ฉันมีเพื่อนหนึ่งคนที่สนิทมาก ทุกวันนี้ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ ผึ้งกับฉันมีวิถีชีวิตเหมือนกัน คือ วิถีคนไม่มีญาติ ต้องรับจ้างทำทุกอย่างเพื่อลูกและตัวเอง ฉันกับผึ้งเป็นบัดดี้ที่ดีต่อกันมากๆ ผึ้งรับจ้างซักผ้า ฉันจะไปช่วยผึ้งซักผ้าทุกวัน ส่วนตอนกลางคืนผึ้งจะเป็นคนดูแลลูกให้ฉันตอนที่ฉันไปนวด เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ แต่เราช่วยสนับสนุนกันและกันเพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเราทั้งคู่

ฉันเริ่มหันมารับจ้างซักผ้าเพื่อจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ฉันกับผึ้งมีความคิดตรงกันคือ ข้าวของของลูกสำคัญที่สุด ต้องหาเก็บไว้ให้มากที่สุด ในที่ที่อะไรก็ไม่แน่นอนและสำหรับคนไม่มีญาติอย่างฉันกับผึ้ง ของของลูกบางอย่างเช่น แพมเพิร์ส จึงจำเป็นต้องมีเก็บไว้ให้มากๆ เพราะมันไม่มีขายในเรือนจำ จะมีได้ก็เฉพาะคนที่มีญาติและญาตินำมาฝากไว้ให้เท่านั้น ตามจำนวนจำกัดที่เรือนจำกำหนดคือ 100 ชิ้นต่อสัปดาห์ บางทีฉันกับผึ้งก็ไปทำเวรที่ทางห้องเด็กจัดให้ เราจะต้องทำความสะอาดทั้งวันเพื่อแลกกับแพมเพิร์สห้าชิ้นที่ทางห้องเด็กแจกให้

สำหรับฉันกับผึ้ง การหาซื้อแพมเพิร์สจากแม่ลูกอ่อนด้วยกันในราคา 10 ชิ้น 150 บาท เป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่วนนมผงนั้น ถึงแม้ในร้านค้าจะมีขาย แต่ฉันกับผึ้งก็ไม่มีปัญญาซื้อได้หรอก เพราะเราไม่มีเงินใน “บุ๊ค”  เราจึงใช้แรงแลกกับนมลูก ด้วยการให้ลูกค้าที่เรารับจ้างซักผ้าให้ มาซื้อนมให้เราแทนค่าจ้าง

การใช้ชีวิตในคุกแบบไม่มีญาติแต่มีลูกติด มันไม่ง่ายเลย เพราะเรากับลูกไม่ได้อยู่ในคุกแค่วันหรือสองวัน แต่เราต้องอยู่ด้วยกันเป็นปี

ฉันปลื้มใจมากๆที่มีเพื่อนอย่างผึ้ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้เผชิญด้วยกัน มีอยู่วันหนึ่งฉันยังไม่ได้กินอะไร แต่ก็จะต้องไปดูผ้าที่ตากไว้กลางแดดร้อนๆก่อน พอกำลังจะแยกกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ฉันบอกผึ่งว่าถ้าหิวก็กินก่อนเลยนะ เพราะตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉันกับผึ้งยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันทั้งคู่ ฉันจึงรู้ดีว่าบัดดี้ฉันน่าจะหิวเหมือนกับฉัน

พอผึ้งจัดการกับเด็กๆเสร็จแล้วก็ฝากเพื่อนอีกคนไว้  ผึ้งเดินถือลูกชิ้นไปหาฉัน “กูหิว แต่กูอยากกินพร้อมๆมึง” ผึ้งบอก ฉันหยิบลูกชิ้นกินพร้อมกับเดินดูผ้าไปด้วย ฉันห่วงว่าผ้าจะไม่แห้งและจะส่งให้ลูกค้าไม่ได้ มากกว่าจะสนใจนั่งกินลูกชิ้นกับผึ้ง ขณะที่ผึ้งนั่งกินลูกชิ้นโดยที่ตะโกนเรียกฉันเป็นระยะให้มานั่งกินพร้อมๆกัน ระหว่างนั้นก็มีทั้งเพื่อนและคนรู้จักเดินผ่านมาขอกินลูกชิ้นกับผึ้ง ผึ้งไม่ปฏิเสธตามนิสัย แต่จะคอยเรียกให้ฉันมากินเสียงไม่ขาด  ฉันจะตอบลับไปว่า “เดี๋ยว!! กินก่อนเลย”

จนกระทั่งลูกชิ้นหมด เพื่อนที่นั่งกินอยู่กับผึ้งก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง ผึ้งลุกขึ้นด่าและทำหน้าหงุดหงิดโวยวายใส่ฉัน “อีเหี้ย เอามาให้กินก็ไม่รีบกิน เด๋วๆๆๆอยู่นั่นแหละ เป็นไง ไม่ได้แดก คนอื่นแดกหมด” ฉันงงนิดหน่อยแต่ไม่โกรธที่ผึ้งด่าหรือบ่นฉันเลย ออกจะขำอากัปกิริยาที่ผึ้งแสดงออกเวลาที่โมโหฉันมากกว่า

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นถ้าผึ้งถืออะไรมาให้กิน ฉันก็จะกินก่อนเลยเพื่อความสบายใจของเพื่อน ส่วนผึ้งเองถ้ามีใครมาขอกินอะไรที่ผึ้งเตรียมไว้ให้ฉัน ผึ้งจะปฏิเสธแบบไม่แคร์อีกฝ่ายเลย และจะบอกทุกคนว่าเก็บไว้ให้ฉันกิน “พลอยมันยังไม่ได้กินอะไร” กลายเป็นประโยคติดปาก

คนที่เจอกันในนั้นคอยเป็นห่วงเป็นใยกันได้ขนาดนี้ จนได้เป็นเพื่อนกัน ในสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอเรื่องดีๆ แต่ฉันยังมีความโชคดีติดตัวมาอยู่บ้าง

ฉันรับจ้างแบบนี้จนลูกสาวตัวน้อยอายุได้หนึ่งเดือน แต่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว ฉันก็ยังต้องทำมันต่อไป

น้องใบตองเริ่มจะไม่ยอมนอนอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา และนางก็ถือตัวแต่เด็กไม่ยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่านางรู้หรือสัมผัสจากอะไรว่าใครคือคนคุ้นเคย ใครคือคนแปลกหน้า คราวนี้ฉันก็ต้องมากังวลเรื่องความประพฤติของลูกสาวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

อาชีพหมอนวดเริ่มทำรายได้น้อยลง ฉันจึงรับจ้างซักผ้าเพิ่มขึ้น ฉันกับผึ้งรับจ้างซักทุกอย่างไม่ว่าผ้าเด็กผ้าผู้ใหญ่ การรับจ้างซักผ้าเด็กจะได้ค่าตอบแทนอาทิตย์ละห้าสิบบาท และคนจ้างต้องซื้อของให้คนรับจ้างซักทุกเดือน ซึ่งมีผงซักฟอกห่อละสิบบาทจำนวนห้าห่อ น้ำยาซักผ้าเอสเซนส์สองถุง น้ำยาปรับนุ่มตามแต่ใจชอบของแม่ลูกอ่อนที่จ้าง ว่าอยากให้ผ้าของลูกตัวเองหอมนุ่มแค่ไหน แต่การซักผ้าเด็กจะมีการจำกัดจำนวนผ้าที่ส่งเช่น ผ้าขนหนูผืนใหญ่ผืนเล็กไม่เกินสองผืน, ผ้าอ้อมสี่ผืน, ชุดเด็กสามชุด, ถุงมือถุงเท้าอย่างละสามคู่ ต้องส่งผ้าไม่เกินจำนวนนี้ต่อหนึ่งวัน นี่คือข้อกำหนดการรับจ้างซักผ้าเด็กที่กลุ่มแม่ลูกอ่อนตั้งกันขึ้นมา

แต่ฉันกับผึ้งไม่เคยจำกัดจำนวนผ้าเหมือนกับแม่ลูกอ่อนที่มีวิถีชีวิตรับจ้างคนอื่นๆ ฉันกับผึ้งคิดแค่ว่าซักหมด ส่งครบ ก็พอ และนี่เองที่ทำให้ฉันกับผึ้งอยากจะมีมือเท้าแบบทศกัณฑ์ จะได้ทำอะไรทันกับเวลา เราไม่เคยมีเวลาเหลือที่จะได้นั่งพัก จะพักได้ก็ต่อเมื่อขึ้นเรือนนอนและลูกต้องหลับแล้ว ด้วยเวลาแต่ละช่วงที่บีบคั้น ฉันกับผึ้งต้องสปีดตัวเองให้ทัน เราจึงแบ่งหน้าที่กัน ถ้าฉันไปดูผ้า ผึ้งจะเป็นคนดูเด็กๆ อาบน้ำ เตรียมนมและพับผ้าเด็กส่ง ส่วนฉันจะไปคอยกลับผ้าที่ตากไว้ที่ราว หรือถ้าหน้าฝนก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ผ้าแห้ง

ซักผ้าว่ายากแล้ว แต่การตากผ้าให้แห้งยากกว่า เพราะผ้ากับราวในคุกมันไม่สมดุลกัน การตากผ้าในตอนเช้าเหมือนกับการเอาผ้าไปห้อยที่ราวให้น้ำหยดเท่านั้น ไม่มีช่องให้ลมผ่าน ผ้าจะตากติดๆกัน มีระยะห่างต่อไม้แขวนไม่ถึงครึ่งเซนติเมตร ฉันมีเวลาทำให้ผ้าทั้งหมดแห้งแค่หนึ่งชั่วโมง  หนึ่งชั่วโมงที่หลายคนในคุกใช้เวลาไปกับการกินข้าวเที่ยง นั่งพักผ่อน เข้าร้านค้า บางคนก็ใช้เวลานี้ไปสื่อสารกับเพื่อนๆในเเดน และรอเวลาเข้าทำงานในช่วงบ่าย

แต่หนึ่งชั่วโมงของฉันอยู่กับผ้าที่รับจ้างชักกลางแดดร้อนๆ

จำนวนผ้าที่เรารับจ้างซักต่อหนึ่งคนได้แก่ ชุดหลวง (คือชุดนักโทษของเรือนจำ) ชุดนอน เสื้อใน กางเกงใน และสุ่มอาบน้ำอีกสองตัว ทั้งหมดประมาณแปดถึงสิบชิ้นต่อคน ฉันกับผึ้งรับจ้างซักเกินสิบคน เท่ากับว่าวันหนึ่งๆ ฉันจะต้องซักผ้าและทำผ้าให้แห้งจำนวนเกือบร้อยชิ้น ทำแบบนี้วนไปทุกวัน

อยู่มาวันหนึ่ง เหตุการณ์ระทึกได้เกิดขึ้นกับฉัน หลังจากที่ฉันกลับมาจากการไปเก็บผ้าที่ราว เนื้อตัวของใบตองก็ค่อยๆ เขียวขึ้นๆ ตั้งแต่หัวลงไปถึงปลายเท้าต่อหน้าต่อฉัน ภาพที่เห็นตอนนั้นเหมือนศพเด็ก ฉันและคนรอบข้างต่างพากันตกใจ ฉันรีบวิ่งอุ้มลูกไปหาพยาบาลพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด

เหตุการณ์วันนั้น จนถึงขณะนี้ฉันยังจำมันได้ดี

ฉันอุ้มลูกวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉินของสถานพยาบาลพร้อมกับน้ำตาและเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ

ตอนนั้นเป็นเวลาพักเที่ยง ซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีใครอยู่บริเวณนั้นอยู่แล้ว พยาบาลและผู้ช่วยงานพากันแยกย้ายไปพักกินข้าวเที่ยงกันหมด ฉันพาลูกวิ่งวนไปวนมา เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ด้วยความกระวนกระวาย เพื่อหาใครซักคนที่จะช่วยลูกของฉันได้ คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันตกใจ จนเสียงเริ่มดังขึ้น จึงทำให้พยาบาลที่อยู่ในห้องพักเวรเดินออกมา ทันทีที่ฉันเห็นหน้าพยาบาล ฉันก็รีบบอกอาการของลูกให้คุณนนท์ พยาบาลประจำเรือนจำฟัง

“ช่วยลูกหนูด้วยค่ะ ลูกหนูอยู่ดีๆตัวก็เขียว ต่อหน้าต่อตาหนูเลยค่ะ” คุณนนท์รับลูกไปจากมือฉันและและพาไปที่ห้องฉุกเฉินทันที อาการของ ใบตองตอนนั้นทำให้ฉันใจไม่ดีเลย ตลอดเวลาที่ฉันอุ้มมาส่งให้พยาบาลจนถึงตอนนี้ที่ลูกอยู่ในห้องฉุกเฉิน ไม่มีเสียงร้องจากเค้าออกมาให้ฉันได้ยินเลยซักเแอะ ร่างกายก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ราวกับร่างไร้ชีวิต คุณนนท์เตรียมเครื่องมือเพื่อดูอาการของใบตอง และตอนนั้นมีผู้ช่วยงานกลับมาจากไปกินข้าวบ้างแล้ว จึงทำให้คุณนนท์มีคนคอยช่วยหยิบอุปกรณ์ และเดินไปมาเพื่อสอบถามอาการเบื้องต้นจากฉัน

คุณนนท์สงสัยว่าอาจจะมีอะไรติดอยู่ในหลอดลม จึงเริ่มการตรวจ ฉันได้ยินเสียงของลูกขึ้นมานิดนึง ใบตองร้อง แต่แค่แป๊ปเดียวเสียงก็เงียบไป ทันใดนั้นเอง คุณนนท์ก็อุ้มลูกฉันออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยอาการกระวนกระวาย

เหมือนกันกับฉัน

คุณนนท์แจ้งฉันว่า จะต้องส่งใบตองไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกโดยด่วน! และสอบถามถึงอาการก่อนหน้าที่ใบตองจะเป็นแบบนี้ พร้อมกับให้ฉันเซ็นชื่อลงในเอกสาร

ข้อความในเอกสารทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง.! ฉันยินยอมและจะไม่เอาผิดใดๆกับเรือนจำ หากลูกของฉันเสียชีวิต

คุณนนท์วิ่งออกไปทันที พร้อมกับเอกสารที่ฉันเซ็น มีเสียงตะโกนมาจากสถานพยาบาลหรือไม่ก็ส่วนปกครอง  ฉันก็ไม่แน่ใจว่าต้นเสียงมาจากทางไหน เพราะหูฉันอื้อ ตาฉันเบลอไปหมด เสียงนั้นบอกให้คุณนนท์รอทางเรือนจำทำเรื่องก่อน อย่าพึ่งอุ้มลูกฉันออกไป

คุณนนท์วิ่งไปพร้อมกับตะโกนตอบกลับต้นเสียงที่บอกให้คุณนนท์รอว่า

“ถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร นนท์จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง หนังสือทำเรื่องส่งเด็กป่วยออกโรงพยาบาลให้ส่งตามไปทีหลัง”

ฉันได้แต่ดูความเป็นไปตอนนั้นด้วยใจระทึก ในที่สุดลูกฉันก็พ้นออกจากประตูคุกไปพร้อมกับคุณนนท์

หลังจากที่ลูกออกไปรักษาที่โรงพยาบาล ฉันก็ทำได้แค่ภาวนาให้เค้าปลอดภัย จนกระทั่งเย็นของวันเดียวกันนั้นถึงมีข่าวจากเจ้าหน้าที่ส่วนปกครองว่าใบตองปลอดภัยและกำลังกลับ ให้ฉันเตรียมตัวรับลูก ฉันเก็บของ และรีบไปรอรับลูกมา

ทันทีที่เจอหน้าลูก น้ำตาฉันก็ไหล จนคุณนนท์ต้องปลอบ ฉันรีบถามถึงอาการที่เกิดกับใบตองทันที แต่คุณนนท์กลับหัวเราะและพูดว่าลูกฉันอยากออกไปนั่งรถเล่น… คำตอบที่ได้ทำให้ฉันถึงกับไปไม่เป็น

คุณนนท์เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ที่อุ้มน้องออกไป น้องไม่ร้อง แต่ตัวยังเขียวซีดอยู่ คุณนนท์พยายามเรียกน้องให้รู้สึกตัวตลอดเวลาจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล พอถึงก็รีบส่งตัวน้องให้คุณหมอดูอาการทันที หมอซักประวัติและอาการของน้องจากคุณนนท์และอุ้มน้องเข้าไปในห้องตรวจ สักพักก็เดินออกมาแล้วถามย้ำกับคุณนนท์ว่า “น้องเป็นอะไรนะคะ”? แต่ยังไม่ได้ทันได้ฟังคำตอบของคุณนนท์ หมอก็บอกว่า น้องไม่ได้เป็นอะไรนะมาโรงพยาบาลทำไม น้องแค่หลับ

“เมื่อกี๊คุณหมออุ้มเข้าไปในห้องตรวจ น้องตื่นพอดี ยิ้มให้หมอด้วย มากันทำไมคะ”

“น้องแค่หลับ” คำตอบของหมอทำให้คุณนนท์ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกับฉันในตอนนี้ ฉันรับลูกมาด้วยความโล่งใจและซึ้งในน้ำใจของคุณนนท์

สรุปว่าวันนั้นลูกฉันอยากนั่งรถเล่นจริงๆละมั้ง เจ้าใบตอง

เรื่องของพลอย ตอนที่ 4

เผยแพร่ครั้งแรกทางหน้า แฟร์ลี่เทล FairlyTell
วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 – Facebook

หลังจากเรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ไม่นาน ชีวิตของฉันกับลูกก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก

วุ่นวายไปแล้วตั้งแต่ยังไม่คลอด จนตอนนี้พอคลอดออกมา ก็มาวุ่นวายเรื่องตั้งชื่อลูก

การตั้งชื่อลูกในเรือนจำช่างเป็นเรื่องแปลก แม่ลูกอ่อนทุกคนต้องเตรียมตั้งชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่คลอด ยังไม่รู้เพศของลูก ตั้งทั้งที่เราไม่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกเลย พอผลตรวจยืนยันว่าท้อง และทันทีที่เราถูกย้ายมาอยู่แดนส่วนปกครอง ทางฝ่ายบริบาลทารก หรือที่เรียกกันว่าห้องเด็ก ก็จะเรียกให้ไปตั้งชื่อลูกและขอเอกสารจำเป็นในการไปคลอดลูกและเเจ้งเกิด คือสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชนของเราและของพ่อเด็ก

กรณีที่เราไม่มีเอกสารของตัวเองติดตัวไป ทางเรือนจำจะทำเรื่องขอคัดสำเนามาให้ แต่ถ้าไม่มีเอกสารของพ่อเด็ก เราห้ามใส่ชื่อพ่อของเด็กลงไปเด็ดขาด ให้ระบุในเอกสารที่เรากรอกลงไปเลยว่า ไม่ปรากฏชื่อบิดา ซึ่งก็หมายความว่าในใบเกิดจะไม่มีชื่อพ่อเด็ก หรือที่พวกฉันชอบพูดกันว่า เด็กไม่มีพ่อ ต่อให้เรารู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก แต่ถ้าไม่มีเอกสาร ก็เเจ้งไม่ได้ เพราะเวลาที่เจ้าหน้าไปทำเรื่องแจ้งเกิด ทางสำนักงานเขตจะไม่ออกใบแจ้งเกิดให้ แล้วเด็กก็จะไม่ได้เเจ้งเกิด

สำหรับเจ้าใบตองนั้น ฉันเตรียมเอกสารมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในคุก การแจ้งเกิดจึงไม่มีปัญหา จะมามีก็ตอนตั้งชื่อลูกเนี่ยแหละ ที่ฉันตั้งโดยยังไม่รู้ความหมายของชื่อด้วยซ้ำ เพราะเวลาที่มีให้ตั้งชื่อนั้นน้อยมาก และตั้งได้แค่ครั้งเดียว ทำให้ฉันเตรียมตัวไม่ทัน ถ้าจะเปลี่ยน ก็ต้องไปเขกพื้น ห้าสิบทีแลกกับการเปลี่ยนชื่อลูก เฮ้อ

วันนั้นเป็น “วันทำการ” ที่ใครหลายๆ คนต่างกำลังเงี่ยหูฟังเสียงประกาศรายชื่อเยี่ยมญาติ ใกล้จะเป็นรอบสุดท้ายของเช้าวันนั้นเต็มที เวลาสิบโมงสี่สิบห้า หัวหน้าแม่ลูกอ่อนเตรียมขอเช็คยอดกับเจ้าหน้าที่ประจำเรือนนอน เพื่อจะไปพักกินข้าวบนกองเลี้ยงหรือทำกิจธุระส่วนตัว ก่อนที่จะไปดูแลลูกต่อจากพี่เลี้ยงในเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง หลังจากเช็คยอดเรียบร้อย แม่ลูกอ่อนแต่ละคนก็เแยกย้ายไปยังจุดมุ่งหมายของตัวเอง

ฉันยังไปทำงานรับจ้างของตัวเองไม่ได้เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่เขาอนุญาตให้เข้า-ออกราวตากผ้า ฉันกับผึ้งจึงมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือไปที่ราวสำหรับตากผ้าเด็กที่อยู่ทางด้านหลังของห้องเด็กซึ่งเคร่งครัดน้อยกว่า เพื่อเก็บผ้าเด็กที่ตากไว้มาพับ ก่อนจะไปจัดการกับกับผ้าเด็ก เราสองคนจะแวะไปแอบเกาะกระจกทางด้านหน้าของห้องเด็กและสอดส่ายสายตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อยที่อยู่ด้านในก่อนทุกครั้ง ถ้าเจ้าตัวน้อยทั้งสองหลับ ฉันกับผึ้งก็ทำงานรับจ้างได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าเด็กๆ ตื่น ผึ้งก็จะลงไปเก็บผ้าแค่คนเดียว ส่วนฉันจะคอยดูเด็กๆไว้ จนผึ้งมาผลัดมือฉันถึงจะไปทำงานของฉัน

ขณะที่ฉันกำลังมองหาลูกอยู่นั้น ก็เจอกับ “หัวหน้าห้องเด็ก” หญิงสูงวัยที่ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดระยะเวลา 13-14 ปีที่อยู่ในนั้น ฉันเรียกแทนตัวเขาว่า แม่ ด้วยความนับถือ และก็เป็นการเรียกตามคนอื่นที่เรียกกันต่อๆมา

แม่ กวักมือเรียกฉันเข้าไปในห้องเด็ก และถามฉันด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง แม่ถามฉันว่าได้เขียนจดหมายหรือฝากใครโทรไปหาญาติบ้างไหม ฉันซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว จึงตอบออกไปสั้นๆ ว่า “ฮึ” คำตอบของฉันมันสั้นจนไม่ได้ใจความ ทำให้คนฟังหัวเสียจนต้องใช้น้ำเสียงที่ดุขึ้นพูดกับฉันอีกรอบ คราวนี้ฉันตอบแบบจริงจังว่า ตั้งแต่คลอดลูก ฉันเขียนจดหมายกลับไปที่บ้านแค่ฉบับเดียว ฉันเขียนไปบอกว่าตอนนี้ฉันคลอดแล้ว ลูกของฉันเป็นผู้หญิง และฉันไม่เคยฝากใครโทรที่บ้าน สีหน้าของแม่ที่ฉันเรียกด้วยความเคารพนั้นเรียบเฉย ไม่ได้บ่งบอกว่าเชื่อ หรือไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด

สักครู่แกก็พูดเบาๆว่า งานเข้าฉันแล้วรู้ไหม ในตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร ฉันจึงยิ้มหยอกแก เพราะคิดว่าแกคงแกล้งอำฉันเล่น แล้วแกถึงได้เริ่มเล่าให้ฉันฟังว่า ญาติฉันมา “ตีเยี่ยม” และได้เจอ กับผอ.สถานพยาบาล ตอนนี้กำลังพูดคุยปรับทุกข์ทั้งน้ำตาอยู่กับผอ.ด้านหน้าเรือนจำ แกเล่าต่ออีกว่าญาติฉันพูดทำนองว่าฉันเรียกร้องให้ทางบ้านมาเยี่ยมบ่อยๆ เรียกร้องว่าฉันลำบากมาก ไม่มีนม ไม่มีแพมเพอร์สให้ลูกใช้ และญาติฉันก็อธิบายกับผอ.สถานพยาบาลว่าเหตุผลที่มาเยี่ยมฉันบ่อยๆไม่ได้ก็เพราะว่าตอนนี้ทางบ้านของฉันกำลังลำบาก มีหลานอีกสามคนที่ต้องดูแลไม่มีเวลาและเงินมากพอที่จะมาเยี่ยมฉันได้ พอจะขอรับลูกของฉันกลับไปดูแลที่บ้าน ฉันก็ไม่ยอมให้ คำอธิบายของญาติฉันทำให้ผอ.สถานพยาบาลต่อสายตรงเข้ามาที่สถานพยาบาล เพื่อหาข้อเท็จริงเกี่ยวกับฉันจากเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลที่มีหน้าที่รับผิดชอบแม่ลูกอ่อนและเด็ก แม่จึงถูกเรียกไปสอบถาม ในฐานะคนที่ดูแลแม่ลูกอ่อน แม่จะคุ้นเคยกับแม่ลูกอ่อนมากกว่าเจ้าหน้าที่ แกใช้ชีวิตอยู่กับแม่ลูกอ่อนทั้งวัน แกจึงรู้ว่าแม่ลูกอ่อนแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร และนั่นก็ทำให้แกพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด ฉันถึงกับงงจนวันนั้นต้องขอเเลกหน้าที่กับผึ้ง ในตอนนั้นอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นานๆจะมีญาติมาเยี่ยมกับเขาทั้งที ดันไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่คิด ความรู้สึกสับสนปนความน้อยใจที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาทางสีหน้าโดยไม่รู้ตัว จนคนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็น ต้องปรับอารมณ์ให้ได้ก่อนที่จะออกไปเยี่ยมญาตินะ เป็นคำแนะนำจากหัวหน้าห้องเด็กที่เดินมาตบบ่าฉันเบาๆ ฉันหันกลับไปยิ้มเจื่อนๆให้ก่อนจะหันมาเตรียมนม น้ำ ผ้าขนหนูที่จะต้องใช้ในห้องเด็กให้ลูกสาวกับหลานชาย และจัดการพาลูกกับหลานอาบน้ำ

ช่วงเวลาที่ฉันวุ่นวายอยู่กับเด็กๆทำให้ลืมอาการจิตตกไปได้พักหนึ่ง ฉันทำทุกอย่างเรียบร้อย ส่งเด็กๆเข้าห้องให้พี่เลี้ยง ฉันกำลังจะเดินกลับไปเจอผึ้งที่เรือนนอนเพทายเพื่อจัดของใช้ลูกที่จะนำเข้าไปใช้ในห้องมาวางรอให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เสียงประกาศเยี่ยมญาติรอบบ่ายก็เริ่มขึ้น และมีชื่อฉันจริงๆอย่างที่รอคอย เพื่อนๆที่รู้จักต่างดีใจไปกับฉัน ก็ใช่อ่ะสิ มันเป็นการเยี่ยมญาติครั้งแรกในรอบหนึ่งปีของฉัน ถ้าก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ไปรับรู้รับฟังอะไรมา ฉันก็คงจะดีใจแบบลิงโลดไปแล้วล่ะ แต่สิ่งที่ฉันได้รับรู้มาทำให้ฉันได้แต่ถอนหายใจ ฉันเดินเอื่อยเฉื่อยไปเก็บของลูกใส่ล็อกเกอร์ จนผึ้งต้องไล่ให้รีบไปเยี่ยมญาติและบ่นปนสะกิดฉันว่าชักช้าเดี๋ยวตกรอบก็กลับมาซักผ้าไม่ทันหรอก ทำให้ฉันคิดขึ้นได้จึงรีบกุลีกุจอโดยไว ฉันไม่ได้รีบเพราะอยากเจอญาตินะ ที่ฉันรีบเพราะฉันกลัวกลับมาซักผ้าตอนเย็นไม่ทันต่างหาก

ฉันไปลงชื่อออกเยี่ยมญาติ และรับสมุดเยี่ยมญาติกับเสื้อกั๊กสุดเท่ที่โต๊ะเยี่ยมญาติของเรือนนอน จากนั้นก็เดินมาที่ส่วนปกครองนั่ งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ ซักพักผู้ช่วยงานก็เรียกชื่อฉัน และให้ฉันเดินไปต่อแถวเพื่อ “ทายชื่อญาติ” ให้ถูกต้องและรับไม้ (ลำดับที่นั่ง) กับเจ้าหน้าที่

พอเจ้าหน้าที่ขานชื่อญาติ ฉันก็ตอบนามสกุลและความสัมพันธ์โดยอัตโนมัติ จากนั้นฉันก็เดินกับไปนั่งรอ จนกว่ารอบที่เข้าเยี่ยมก่อนหน้าฉันจะออกมา แล้วจึงจะมีผู้ช่วยงานเดินมารับรอบของฉันเข้าห้องเยี่ยม ฉันได้เยี่ยมในแดนเก่าซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับห้องเด็ก ฉันจึงไม่ต้องเดินไปอุ้มลูกมานั่งรอที่ส่วนปกครองก่อนเข้าห้องเยี่ยม แล้วผู้ช่วยงานก็เดินมารับพาเข้าห้องเยี่ยม ผู้ต้องขังที่เยี่ยมญาติรอบเดียวกับฉันลุกจากเก้าอี้เดินไปตั้งแถวตามลำดับไม้ที่ถืออยู่ในมืออย่างเป็นระเบียบ แล้วก็เดินตามผู้ช่วยงานไปยังห้องเยี่ยม

ก่อนจะถึงห้องเยี่ยม ฉันเดินแตกแถวออกมาเพื่อจะไปอุ้มลูกที่ห้องเด็กแล้วก็เดินตามเข้าไป ฉันอุ้มลูกเดินไปนั่งรอในช่องตามลำดับที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ระหว่างที่รอญาติตัวเอง ฉันก็มองผู้ต้องขังที่ญาติของเขาเข้ามาถึงก่อน ทันทีที่โทรศัพท์ถูกยกขึ้น ทุกคนรีบคุยรีบถามเพื่อจะใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่ากับการได้เจอหน้าและฟังเสียงของคนที่พวกเขารอคอย ถึงจะเป็นการเจอกันแบบมีกระจกกั้น แต่ฉันสัมผัสได้ว่าผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับฉันส่วนใหญ่ดีใจและอุ่นใจที่มีญาติมาเยี่ยมต่อให้บางคนจะร้องไห้ไปคุยไปก็เถอะ

ญาติของฉันที่กำลังเดินเข้ามา ก็คือพี่สาวฉันเอง ฉันโบกมือเป็นสัญญาณว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้ ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้น พี่สาวก็ถามถึงหลานก่อนเลย เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คลอดมาน้ำหนักเท่าไหร่ แสดงถึงความห่วงใยที่มีให้ฉันกับลูก ขณะที่พี่ฉันกำลังพูดอยู่นั้น ฉันก็ค่อยๆก้มหน้าลง ในใจฉันก็กำลังคิดว่าจะถามสิ่งที่คาใจฉันออกไปดีไหม จนเสียงพี่ฉันเงียบหายไปจากโสตประสาทหู ฉันถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มแบบเสแสร้งตอบพี่ฉันไปว่า “สบายมาก” “พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันกับลูกอยู่ดี ตอนนี้อะไรๆก็ลงตัวไปเยอะแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไร พี่ไม่ต้องห่วง ฉันหรอกนะ ฝากดูแลแม่ด้วย ฝากบอกแม่ด้วยว่าขอโทษ แต่ฉันไม่ได้ทำเหมือนอย่างที่แม่คิดนะ คราวนี้ฉันถูกจับเพราะความไว้ใจที่ฉันมีให้กับเพื่อน ฉันไม่ได้กลับไปยุ่งกับยาเสพติด แต่ฉันผิด ที่ฉันยังคบกับเพื่อนที่ยุ่งเกี่ยวกับมัน”

แล้วฉันก็ถามถึงแม่

“แม่สบายดีไหม ยังโกรธฉันอยู่รึป่าว ฉันอยากให้แม่มาเยี่ยมฉันซักครั้ง แต่ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันเข้าใจ…” เสียงฉันเริ่มสั่น มันเป็นประจำทุกครั้งที่ฉันต้องพูดถึงแม่ให้ใครฟัง มันเป็นความรู้สึกผิดที่ฉันมีต่อแม่

“แม่ไม่ค่อยสบาย เค้าไม่โกรธแกหรอก เค้ายังเคยพูดเลย…เป็นเพราะเค้าเลี้ยงแกไม่ดีแกถึงเป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องขอโทษ แกออกมาแกก็ไปขอโทษเค้าเองเถอะ” ฉันดีใจเมื่อพี่ได้ยินสิ่งที่พี่ฉันพูดออกมา ฉันไม่คิดจะถามอะไรต่อ เราจึงคุยเรื่องทั่วๆไปและทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดถึงเรื่องที่เกิดข้างหน้าเรือนจำ หลังจากบทสนทนาถามสารทุกข์สุขดิบถามถึงคนทางบ้านของฉันจบลง ฉันจึงชวนพี่ให้ดูใบหน้าลูกของฉันระหว่างรอให้เวลาเยี่ยมหมดลง หลังจากนั้นก็ฝากความคิดถึงกลับไปหาคนทางบ้าน ส่วนอีกฝ่ายก็บอกกับฉันว่าจะฝากเงินไว้ให้ใช้ 1,000 บาท ฉันได้ยินว่าจะฝากเงินให้ จึงรีบย้อนถามกลับไปว่าตัวเขามีใช้หรือเปล่า ไม่ต้องฝากไว้ให้ฉันกับลูกก็ได้ ฉันอยู่กันได้ไม่ต้องห่วง

และฉันได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “วันหลังไม่ว่างก็ไม่ต้องลำบากมาหรอก ไม่ต้องห่วง อยู่ได้” พร้อมกับรอยยิ้มก่อนเดินออกจากห้องเยี่ยม แล้วอุ้มลูกไปไว้ที่ห้องเด็กเหมือนเดิม

แม่รอถามฉันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันตอบไปว่า ฉันไม่ได้ถาม เขาคงอยากจะระบายมั้งเลยพูดออกไปแบบนั้น ฉันพูดกับแม่ว่า ฉันไม่รู้หรอกว่าเขา พูดเพราะอะไร ถ้าเป็นคนอื่นฉันอาจจะถามหาความจริง แต่นี่คนที่พูดคือคนในครอบครัวฉัน พูดออกไปก็ไม่ดี ฉันรู้ตัวฉันเองดีว่าฉันทำอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า แม่ไม่ได้ถามอะไรต่อ นอกจากจะพูดเตือน! พรุ่งนี้ปกครองอาจจะเรียก ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ทำใจก่อนจะขอตัวกลับแดน

พรุ่งนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

พลอยเดช