ข้อเขียนนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ วิทยา หาญวารีวงศ์ศิลป์ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567
เผยแพร่ในเว็บไซต์สำนักพิมพ์อ่าน สำหรับวาระการจัดแสดงนิทรรศการภาพครั้งแรกและครั้งเดียวของวิทยา หาญวารีวงศ์ศิลป์ ระหว่างวันที่ 6-30 มิถุนายน 2568 ที่ กาลิเลโอเอซิส แกลเลอรี่
สวัสดีค่ะอาจารย์วิทยา
พี่ลี่ สาลีนี อยากให้บีเขียนจดหมายลาอาจารย์วิทยาตรงนี้ บีไม่ทราบจะเขียนอย่างไร…
แต่บีนึกถึงที่อาจารย์วิทยามักอ้างถึงความเห็นของพี่ลี่อยู่บ่อยครั้งเวลาไม่แน่ใจว่าไอเดียที่อาจารย์ร่างมานั้น มาถูกทางแล้วหรือไม่ บีก็เลยได้แต่ต้องเดินตามแนวทางของอาจารย์
อาจารย์อาจจะพอนึกออกว่า เหตุที่บีไม่คุ้นที่จะเขียนจดหมายถึงอาจารย์ ก็เพราะปกติเราสื่อสารกันทางจดหมาย (อีเมล) อย่างกระชับมาก เหมือนเป็นแค่โน้ตส่งมาอ้างอิงไว้เพื่อจะโทรคุยและถกกันต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น ความคิดนี้ของพี่ลี่ก็เตือนให้บีนึกได้ว่า อันที่จริงบีสะดุดใจกับความกระชับในจดหมายของอาจารย์ตลอดมา เพราะมันช่างเป็นความกระชับที่ได้ใจความ ได้อารมณ์ จบในตัว เป็นความกระชับอย่างที่บีรู้สึกตลอดมาว่าเป็นลายเซ็นของภาษาเขียนแบบอาจารย์วิทยา
บีคิดว่าบีเคยบอกอาจารย์แล้วในข้อนี้ ตอนที่บีเคยฝันเฟื่องอยากทำหนังสือรวมเล่มผลงานของอาจารย์ แล้วบีก็คิดจะเอาข้อความในอีเมลของอาจารย์ตอนส่งงานนั่นแหละมาใช้เป็นคำบรรยายกำกับอย่างกระชับๆ วางไว้ข้างๆ มันจะน่าจะตัดกันอย่างได้เฉียบขาดกับสไตล์ภาพของอาจารย์ที่พลิ้วไหวพัลวันหลายชั้นเหลือเกิน
จำภาพประกอบบทความเรื่อง “อ่าน แก้วหน้าม้า“ ของคุณปรามินทร์ เครือทอง ได้ไหมคะ ที่บีเคยขออาจารย์ว่าอยากจะเอาไปจ้างเขาปรินท์แผ่นใหญ่ๆ ใส่กรอบติดฝาบ้าน
ตอนส่งงาน อาจารย์เขียนมาแค่นี้ เท่ซะไม่มี!
“ตามท้องเรื่องแก้วหน้าม้าเป็นคนสวยนะครับ
แต่เธอ ‘ซ่อน’ ไว้”
แล้วที่มุมล่างของภาพนี้ก็จะยังเห็นรอยปั๊มของยี่ห้อประดาษวาดเขียนที่อาจารย์ใช้ ซึ่งสไตล์ของอาจารย์ก็คือ “ปล่อยมันไว้” นี่เป็นข้อที่บียิ่งชอบใจ คืออาจารย์ตั้งใจทำงานอย่างลงแรง อย่างละเลียด อย่างโอลด์สคูลมาก แต่ขณะเดียวกันก็อาจารย์ก็ชอบที่จะทิ้งพื้นที่ให้แก่ร่องรอยต่างๆ แก่ความไม่สมบูรณ์แบบ ความบังเอิญ ความไม่เป๊ะ ถ้าพูดอย่างภาษาโบราณสุดๆ ก็คือ อาจารย์ต้องการความสวยบาดใจแต่ต้องให้สวยอย่างธรรมชาติ คือต้องอนุญาตให้มีตำหนิ
อย่างตอนส่งร่างภาพปกเล่ม นายคำ ของอาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ประกอบรูปมาให้ดูโดยบอกว่าจะให้เป็น “ดังที่เห็น” จะไม่ทำให้ “ประณีตอย่างงานรีทัช” อาจารย์ย้ำว่า “ผมไม่ได้พยายามจะ ‘เนียน’ อะไรนักหนา”
แต่บางที อาจารย์ก็เหมือนอยู่ในอารมณ์(เดียวกับบี)ที่เบื่อความคาดหวังมาตรฐานทางการตลาดของสิ่งที่เรียกกันว่า “ความสวย” ของปกหนังสือ บางทีเราก็แค่เล่นกับฟอนท์ไปอย่างดิบๆ อย่างดื้อๆ อย่างกระแทกปังให้มันรู้กันไป ตอนทำปกเล่ม อ่านใหม่ เราอยู่ในอารมณ์นั้น เราใส่ความหมายของการทับการซ้ำการอ่านใหม่ไว้ในตัวอักษรอย่างตรงไปตรงมา แต่ที่บีก็ยังเข้าไม่ถึงก็คือ ตอนที่โรงพิมพ์เอาหนังสือมาส่งให้ที่บูธในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ แล้วบีก็ตาลีตาเหลือกโทรหาอาจารย์เพื่อจะขอโทษที่ไม่มีการเผื่อที่ว่างข้างซ้ายสำหรับร่องพับของปกเวลาเปิดอ่าน ทำให้ไม้มลายชิดสันปกเกินไปและเหลื่อมอยู่ในร่องพับ อาจารย์ก็หัวเราะกลับมาว่าโรงพิมพ์เขาไม่ได้ทำผิดครับ ผมจงใจให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ ปล่อยมัน!
ถ้าให้นึกย้อนอดีตไปก็ยังมีอะไรให้ย้อนอีกมากมายที่เราได้ผ่านมาด้วยกันนับแต่วันที่เราตั้งต้นกันมาจากวารสารอ่าน จากวันที่เรายังมีทีมศิลปกรรมพร้อมหน้า และจากความตั้งใจที่จะให้ภาพประกอบเป็นมากกว่าภาพที่มาประกอบเนื้อหา ต้องขบต้องคิดกับมันมากมายอย่างชนิดไม่น้อยหน้าอะไรที่เขาเรียกกันว่า conceptual art
แต่ลายเซ็นของอาจารย์ยังมีอีกว่า ความซับซ้อนเหลือเกินนั้นมิได้มาจากการขบคิดเพื่อความแหลมคมทางเนื้อหา อาจารย์วิทยาไม่ใช่สายวิพากษ์แบบศิลปินอย่างที่เรียกกันว่าสายก้าวหน้า จุดยืนในทาง ‘วิธีวิทยา’ นั้นมีแค่ว่า
“ผมก็คิดไปตามความรู้สึกล้วนๆ”
ตอนที่บีขอให้อาจารย์ทำภาพปกเล่ม เทวดา ของลาว คำหอม ภาพนี้น่าจะเป็นภาพเดียวที่อาจารย์เขียนอธิบายมายาวขึ้นหน่อย และบียังคงมั่นใจว่าอาจารย์อธิบายไปตามเนื้อภาพ ยังคง “คิดไปตามความรู้สึกล้วนๆ”
“ส่งรูปมาปรึกษา
รูปจะเป็นรูปเดียว
ปกหน้าคนจะอยู่ด้านล่าง(ไหว้ขึ้น)
ปกหลังคนจะไปอยู่ด้านบน(ไหว้ลง)”
“ความคิดก็คือ ‘มุมมอง’ มองในมุมเรา เราก็ไหว้เขา
มองในมุมเขา เราก็ยังต้องไหว้เขา(อยู่ดี)
ถ้าจะมีชื่อภาพก็คงเป็นว่า ‘ให้กูไหว้มึง’
ส่วนอีกรูปก็คงเป็นว่า ‘มึงให้กูไหว้’
ไม่ว่าทางไหน เราก็ต้องไหว้มัน”
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่จะขอจดจำด้วยความขอบคุณตลอดไปอีกประการ คือความสัมพันธ์อย่าง “เพื่อน-ร่วมงาน” อาจารย์วิทยาให้เกียรติต่อกันเสมอ ในยามพลุ่งพล่านอย่างศิลปิน ในยามนิ่งไม่พูดไม่จาอย่างเก็บงำ ในยามฉุนเฉียว ในทุกภาวการณ์ อาจารย์ทำได้อย่างไรที่สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทว่าอย่างเคารพและให้เกียรติกัน และในการสร้างงานศิลปะที่ถึงเลือดเนื้อถึงความรู้สึกนั้นก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะรำงับให้เป็นความงามอย่างสุภาพบุรุษโบราณ คิดดูเถิดว่า ในทางหนึ่งอาจารย์ทำภาพประกอบบทความ “ตามหาแผ่นดินของเรา” ของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในวารสารอ่าน ให้สะท้อนโศกนาฏกรรมรักอันเด็ดเดี่ยวกล้าหาญทว่าเวิ้งว้างอย่างจับใจของหญิงชายคู่หนึ่ง
และในอีกทาง สำหรับภาพประกอบบทความของอาจารย์ชูศักดิ์เรื่อง “กากี ความบัดสีบัดเถลิงของอำนาจ” อาจารย์ก็วาดภาพโศกนาฏกรรมของนางกากีที่ถูกประณามว่าเป็นหญิงสามผัวออกมาได้อย่างตรงเป้าของการเย้ยหยันกามาในราคาของความรัก จำได้ว่าตอนส่งภาพประกอบชิ้นนี้ อาจารย์ถึงกับต้องเขียนกำกับการวางเพื่อกำกับความพอดีให้แก่ความหมายของความบัดสี
“มันดูหยาบคายครับ
ผมเลยวางตรงกลาง ให้ขนาดใหญ่ขึ้น วางเฉยๆ นะครับ ดังที่วางมาในไฟล์”
ปกสุดท้ายที่อาจารย์วาดภาพให้ คือปกนี้ ท่งกุลาลุกไหม้ โจทย์มีแค่ว่าบีอยากให้อาจารย์ทำภาพที่จะล้อกันกับภาพปก ฟ้าบ่กั้น อันเป็นภาพปกในตำนานที่อาจารย์เคยใช้เป็นข้ออ้างในการถ่อมตนและให้เกียรติคนรอบข้างเสมอมาว่า คนที่เลือกภาพปกนี้คือบี และคนที่ทำให้ปกนี้มีกิมมิคอันทรงพลังได้ด้วยการเติมจุดเข้ามาเพียงจุดเดียวนั้นก็คือพี่ลี่
มีอะไรอีกมากมายที่บีควรจะได้บอกให้อาจารย์แน่ใจได้ว่า อาจารย์คือความภูมิใจของสำนักพิมพ์อ่าน—ที่แปลว่าคือหญิงบ้าคนหนึ่ง ซึ่งในช่วงหลายปีมานี้ได้ทอดทิ้งเพื่อนร่วมงานในฐานะสำนักพิมพ์นี้ไป ในช่วงท้ายที่เรายังได้คุยกัน อาจารย์ดูมีความทุกข์จากแพสชั่นอย่างศิลปินนั้นที่ไม่อาจถูกจัดวางอยู่ในสภาพการณ์อย่างการประเมินดัชนีในระบบตลาดวิชาสมัยใหม่ อย่างแวดวงการออกแบบ อย่างอะไรๆ อย่างที่เป็นอยู่ได้ บีได้แต่บอกอาจารย์ว่าเรามีแต่ต้องตั้งหลักไว้ เราต้องไม่ดิ่ง เรารู้ว่าเราทำอะไร เรารู้ว่าอะไรมีความหมาย จนครั้งสุดท้ายที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนกัน อาจารย์เหมือนหันเหพลังไปทางช่าง ทำอะไรชนิดที่ต้องแซวตัวเองว่าเข้าขั้นระห่ำบ้าพลัง อย่างการสร้างบ้าน การลงแรงอย่างช่างไม้ ช่างปูน ช่างกระเบื้อง เพราะอาจารย์เป็นแบบนั้น อาจารย์เป็นศิลปินรุ่นโบราณที่พอใจจะทำทุกอย่างด้วยมือแม้จะได้ชื่อว่ามีฐานะอาจารย์ในวิชาสมัยใหม่อย่างกราฟิกดีไซน์ เราได้แต่ให้กำลังใจกันเท่าที่จะทำได้ แต่บีรู้สึกตลอดมาว่าบียังทำน้อยเกินไป การไปเอาอะไรต่ออะไรข้างนอกนั่นมาแบกไว้บนบ่าทำให้กลายเป็นว่าบีไม่เหลือแรงที่จะยกแขนตัวเองไปตบไหล่หรือโอบไหล่เพื่อนร่วม ‘งาน’ จริงๆ ของบี ที่หมายถึงงานสำนักพิมพ์อ่านได้
ในช่วงวิกฤตหนึ่งของบี น่าจะเป็นเพียงครั้งเดียวที่อาจารย์เขียนมาด้วยเนื้อหาอย่างส่วนตัว แต่ยังคงอย่างกระชับเช่นเคย อย่างเพื่อนร่วมงานที่ยังเป็นฝ่ายให้กำลังใจจนบีรู้สึกละอาย “ขอให้เข้มแข็งนะครับ เพราะที่คุณบีทำอยู่นั้นดี!”
การเขียนจดหมายคุยกับอาจารย์ในครั้งนี้ บีรู้ดีว่าเอาเข้าจริงมันเป็นการเขียนบอกคนทั้งโลกว่าบีกำลังเขียนถึงอาจารย์วิทยามากกว่า เป็นการเขียนบอกคนทั้งหลายว่าอาจารย์วิทยาคือใครและมีความหมายอย่างไรสำหรับสำนักพิมพ์อ่าน
เพราะถ้าเราเขียนคุยกันจริงๆ มันจะเหลือแค่นี้
คุณ บี
ประมาณนี้ มากไป/น้อยไป?
โทรมาคุยนะครับ
วิทยา
แล้วบีก็จะตอบแค่ว่า
อาจารย์วิทยา
ได้รับแล้วนะคะ
“วิทยา” มาก
บี
ป.ล. บีต้องขอบคุณ นอท ดนัยพันธ์ วัชรีวงศ์ ที่ช่วยประสานทุกอย่างเพื่ออาจารย์วิทยาตลอดมาจนถึงวันนี้